วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

ความหมายของคำว่า "ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Information System ) GIS"

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย 





GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพียงอย่างเดียว แต่แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน(รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน















อ้างอิงโดย: http://www.gisthai.org/about-gis/gis.html#

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โลกกาภิวัตน์ คำสั้นๆที่ควรรู้จัก




โลกกาภิวัตน์ คำสั้นๆที่ควรรู้จัก




โลกาภิวัตน์ (Globalization ) คำที่พวกเราทุกคนคุ้นเคย แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจความหมายจริงๆของคำสั้นๆคำนี้ โลกาภิวัตน์เป็นคำที่เกิดมาก่อนหน้าทศวรรษ 1990 แล้ว โดยเริ่มต้นจากนักวิจารณ์ด้านวัฒนธรรมชาวแคนาดา Marshall McLuhan(1964) ที่เขากล่าวถึงหมู่บ้านโลก (global village) ซึ่งหมายถึง โลกยุคใหม่ที่ตั้งอยู่บนฐานของเทคโนโลยี อันนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่เร่งเร็วขึ้นในทุกระดับของสังคมมนุษย์ แต่เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในแวดวงวิชาการและสื่อสารมวลชน เมื่อต้นทศวรรษ 1990 โลกาภิวัตน์นอกจากจะมีอิทธิพลต่อสังคมศาสตร์หลายแขนงแล้ว ยังครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐศาสตร์ วัฒนธรรมและเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมทั้งยังมีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อของคนจำนวนมากในยุคสมัยใหม่

ความหมายของโลกาภิวัตน์

ต่อคำถามที่ว่า โลกาภิวัตน์มีความหมายอย่างไรนั้น ถึงแม้ปัจจุบันโลกาภิวัตน์ จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมากในทุกวงการของสังคม โลกาภิวัตน์คืออะไร? นั้น ก็ยังคงไม่สู้จะง่ายนักต่อการให้คำตอบได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ มีผู้นิยามและให้ความหมายของโลกาภิวัตน์ ในหลากหลายแง่มุมแตกต่างกันไป

โลกาภิวัตน์ ในมุมมองของผู้เขียน มีความหมายว่า "คือปรากฏการณ์ที่หลอมรวมความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นในทุกมุมส่วนของโลก ให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและใกล้ชิดกันมากขึ้นตามแบบอย่างโลกตะวันตก อย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลและข้ามพรมแดนรัฐ สามารถถูกรับรู้ได้ทันที่ ทำให้โลกมีลักษณะเป็นหมู่บ้านโลก โดยมีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นตัวช่วยสนับสนุน"

ดังนั้น เราสามารถเห็นได้ว่าในยุคโลกาภิวัตน์นั้น เหตุการณ์และรูปแบบทางสังคมที่อยู่ห่างออกไปจะมีกระบวนการแผ่ขยายเข้าหากันและล้อรับกัน กระบวนการนี้จะเชื่อมโยงทำให้สังคมที่แตกต่างกันกลายมาเป็นเครือข่ายที่คล้ายคลึงกันโดยการนำเข้าแนวคิดและรูปแบบจากประเทศโลกตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ของความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ ดังนั้น โลกาภิวัตน์ก็คือการทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับโลกเข้มข้นขึ้น และความสัมพันธ์ที่เข้มข้นนี้จะเชื่อมโยงระยะห่างในลักษณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นจะเกิดขึ้นจากอิทธิพลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ซึ่งไกลออกไป ในทางตรงข้ามเหตุการณ์ในท้องถิ่นอาจจะมีผลกระทบต่อที่ที่อยู่ไกลออกไปด้วย

กระบวนการโลกาภิวัตน์

กระบวนการโลกาภิวัตน์มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว นับเนื่องจากลัทธิอาณานิคม (Colonialism) แผ่ขยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและยุโรปตะวันตกใช้แสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา เพื่อแสวงหาแหล่งผลิตอาหาร วัตถุดิบ หรือทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งแรงงานทาสจากอาณานิคม และเพื่อเป็นตลาดระบายสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศแม่ ซึ่งมีลักษณะเป็นจักรวรรดินิยม (imperialism) ที่มาพร้อมกับการถ่ายทอดแนวความคิด ความเชื่อ และ วัฒนธรรมตะวันตกไปสู่ดินแดนอื่น
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การเชื่อมโยงโลกโดยอาศัยการล่าอาณานิคมได้คลายความสำคัญลงไปเรี่อยๆ พร้อมกันกับที่เริ่มมีการเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าด้วยกัน ในช่วงนี้ วาทกรรมการพัฒนา (Development) ตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นมามีอิทธิพลอย่างสูงในห้วงนี้ ทั้งที่เป็นแนวคิด ความเชื่อ และทฤษฎี ได้ถูกตีแผ่ขยายไปทั่วโลก เช่น ทฤษฎีความทันสมัย (modernization) จนถึงอุดมการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism) หรือที่รู้จักกันในนาม 'ฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus) ซึ่งนำเสนอถึงรูปแบบ นโยบายสำหรับการปฏิรูประบบเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนาทั่วๆ ไป นโยบายที่สำคัญๆ ก็เช่น การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (Liberalization) การลดการควบคุมและการกำกับโดยภาครัฐ (Deregulation) การถ่ายโอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Stabilization) เป็นต้น ส่งผลให้บทบาทของบรรษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations - MNC) ของมหาอำนาจต่างๆ เช่น Microsoft, McDonald's,GM ฯลฯเริ่มมีบทบาทและอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจโลกในเวลาต่อมา

โลกาภิวัตน์กับการหลอมรวม


จากความหมายของโลกาภิวัตน์ในมุมมองของผู้เขียน ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงประสานใน 3 ด้านด้วยกันคือ
  1. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานกันทางเศรษฐกิจระหว่างนานาประเทศ คือส่งผลให้มีการไหลเวียนของสินค้า บริการ เงินทุน ผู้คน และทรัพยากรที่ข้ามพ้นกำแพงรัฐชาติ การปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกันจนเป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวาง โดยโลกเศรษฐกิจจะไม่มีพรมแดนในลักษณะที่สอดคล้องกับการแบ่งเขตเกี่ยวข้องกับดินแดนหรืออาณาเขต ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐ (State) แต่เป็นเขตแดนทางเศรษฐกิจ และรูปแบบการผลิตแบบห่วงโซ่ข้ามชาติก็เป็นที่แพร่หลาย เมื่อสินค้าชิ้นเดียว แต่มีส่วนประกอบต่างๆ ที่ถูกผลิตขึ้นในหลายๆ ประเทศ บางครั้งก็รู้จักกันในนาม 'Mcdonaldization' จุดประสงค์หลักสำคัญเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของ บริษท์โตโยต้า ใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น อาศัยการชิ้นส่วนเช่น ล้อ ตัวถัง จากประเทศจีน แต่กลับนำไปประกอบเป็นตัวรถยนต์ในประเทศไทยแทน เป็นต้น
  2. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานทางแนวความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ อาทิ ความเป็นประชาธิปไตย(Democratization หรือ กระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย) สิทธิมนุษยชน (Human right) การจัดการปกครองที่ดี (Good Governance) การค้าเสรี (Free Trade) ตลอดจน วัฒนธรรมความทันสมัยแบบตะวันตก เป็นต้น ในฐานะอุดมการณ์หลักแห่งยุคสมัยที่ถูกแผ่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งผู้คนโดยทั่วไปเรียกกันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ยุคโลกาภิวัตน์"โดยคิดและอุดมการณ์เหล่านี้ มีผลอย่างมากต่อการจัดการปกครองทางการเมืองและสังคมของประเทศต่างๆทั่วโลกในปัจจุบัน
  3. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990. ในปี 1989-1991 จากการล่มสลายของระบบสังคมนิยมในสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาจัดระเบียบโลก (The New World Order) หลังยุคสงครามเย็นสิ้นสุด โดยสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและริเริ่มเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ พร้อมกันกับเผยแพร่เทคโนโลยีออกไปโดยรวดเร็วไปพร้อมกับวัฒนธรรมแบบอเมริกัน เช่น โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่สามารถรายงานข่าวสาร สาระจากพื้นที่หนึ่งของโลก ให้กระจายไปทั่วโลกได้ทันที่ ผ่าน CNN, BBC อินเตอร์เน็ตที่ถ่ายทองความคิด ความเชื่อผ่านทางเว็บไซด์ต่างๆร่วมถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมอเมริกันผ่านสื่อ เช่น ในรูปแบบภาพยนตร์ผ่าน Hollywood ในรูปแบบแฟชั่น ดนตรีเพลงผ่าน โทรทัศน์ช่อง MTV เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว โลกาภิวัตน์ได้เชื่อมโยงหลอมรวมความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ของโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเนื่องจากความจำเริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ได้มีส่วนทำลายพรมแดนระหว่างรัฐ ที่เป็นอุปสรรคขว้างกั้น ในความหมายเดิมลงไปอย่างสิ้นเชิง โลกในปัจจุบันจึงเปรียบเหมือนถูกย่อทางด้านกาล (Time) เทศะ (Space) และถูกผนวกรวมความคิด ความเชื่อ ให้เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกันมากขึ้น จนทำให้สังคมโลกเล็กลงจนมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหมู่บ้าน ซึ่งใครหลายคนเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าเป็น "หมู่บ้านโลก"(Global Village) เหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือ "โลกาภิวัตน์" ในมุมมองของผู้เขียน











อ้างอิงโดย:http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1176

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เอราทอสเทนีส (บิดาภูมิศาสตร์)




เอราทอสเทนีส (บิดาภูมิศาสตร์)


Eratosthenes.jpg


เอราทอสเทนีส (กรีก: Ἐρατοσθένης; Eratosthenes) เป็นนักภูมิศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งภูมิศาสตร์” (father of geography) เนื่องจากว่า ระหว่างที่ปราชญ์ท่านอื่นให้ความสนใจต่อการบรรยายทางภูมิศาสตร์อยู่นั้น เอราทอสเทนีส เป็นคนแรกที่ใช้คำว่าภูมิศาสตร์และเรียกตัวเองว่าเป็นนักภูมิศาสตร์ (geographer) และจากการสังเกตพบว่างานทางภูมิศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งหลายไม่ได้เกิดจากนักภูมิศาสตร์ที่แท้จริง นอกจากนี้ปราชญ์ผู้ศึกษาปรากฏการณ์เองก็ไม่ได้มีเป้าหมายในการอธิบายในเชิงภูมิศาสตร์ กล่าวกันว่า เขามีแนวทางในการศึกษาโดยมุ่งเน้นว่า โลกเป็นที่อยู่อาศัยของมวลมนุษย์ โดยเป็นคนแรกที่ค้นคิดหาวิธีการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่ต่างได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ จากการพิจารณาความสัมพันธ์ของที่ตั้งของเทหะวัตถุบนท้องฟ้า หรือจุดตำแหน่งบนพื้นผิวโลกกับการเคลื่อนที่ของเทหะวัตถุ ทั้งนี้ การคิดค้นระบบเส้นกริดอย่างหยาบๆ ของ เอราทอสเทนีส ทำโดยการแบ่งโลกออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเส้นสมมุติลากผ่านเมืองสำคัญและลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่น ระบบเส้นกริดนี้ใช้เป็นกรอบสำหรับสร้างแผนที่และการกำหนดที่ตั้ง ทำให้แผนที่มีความถูกต้องยิ่งขึ้น
เอราทอสเทนีสได้รับการศึกษาหลากหลายสาขา เป็นต้นว่า นิรุกติศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญา เชื่อกันว่าเขาได้เข้าศึกษาทั้งใน academy ของ Plato และ Lyceam ของ Aristotle เขาเกิดในอาณาจักรกรีกที่ Cyrene ในลิเบีย ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ในเอเธนส์ ในปี 244 ก่อนคริสตกาล เขาได้รับเชิญจากกษัตริย์อียิปต์ให้ทำหน้าที่เป็นผู้สอนส่วนพระองค์ (royal tutor) และต่อมาได้เข้าทำงานใน Alexandria ศูนย์รวมวิทยากรสมัยกรีก ในฐานะหัวหน้างานบรรณารักษ์ นานถึง 42 ปี (ระหว่าง ปี 234 – 192 ก่อนคริสตกาล)
ชื่อเสียงของ เอราทอสเทนีส ขจรกระจายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากการยอมรับว่าโลกกลม และเขาพยายามคำนวณเส้นรอบโลก หรือ วงกลมใหญ่ และผลการคำนวณใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด กล่าวคือ คำนวณได้ 25,000 ไมล์ คาดเคลื่อนไปเพียง 140 ไมล์เท่านั้น วิธีการคำนวณนั้นเขาได้สังเกตตำแหน่งของพระอาทิตย์ ณ บริเวณ 2 จุด คือ Syene และ Alexandria ในช่วง Summer solstice (วันที่ 21 มิถุนายน วันนี้มีแสงตั้งฉากของพระอาทิตย์จะขึ้นไปได้ไกลที่สุดในซีกโลกเหนือ และจะตกลงที่ลติจูด 23 องศาเหนือ ทุกส่วนในซีกโลกเหนือที่เหนือแนว arctic circle จะเป็นเวลากลางวัน 24 ชั่วโมง ส่วนในซีกโลกใต้ต่ำกว่าแนว antarctic circle จะเป็นเวลากลางคืน 24 ชั่วโมง ผลที่เกิดขึ้นในแต่ละลติจูดจะทำให้เส้นแบ่งเวลากลางวัน–กลางคืน ไม่เท่ากัน)
ณ เมือง Syene หรือ Aswan บนเกาะแห่งหนึ่งในแม่น้ำไนล์ บริเวณพระอาทิตย์สะท้อนขึ้นมาจากน้ำก้นบ่อ เหตุการณ์เกิดขึ้นมาช้านานโดยไม่มีนักเดินทางคนใดเป็นพยานได้ เพราะขาดความสนใจ ลักษณะเช่นนี้แสดงว่า พระอาทิตย์ส่องแสงลงมาตรงหัวพอดี ในเวลาเที่ยงวัน และตำแหล่งที่สองที่เขาสังเกตคือ บริเวณนอกพิพิธภัณฑ์ใน Alexandria ซึ่งมีอนุสาวรีย์ยอดแหลมตั้งอยู่ และเขาก็สามารถใช้อนุสาวรีย์แทน gnomon แล้ววัดความยาวของเงาอนุสาวรีย์ช่วงเที่ยงวันของ summer solstice เพื่อคำนวณมุมระหว่างยอดอนุสาวรีย์กับทิศทางของแสงพระอาทิตย์
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ เอราทอสเทนีส ใช้หลักการเรขาคณิตของ thales ข้อที่สาม เกี่ยวกับเส้นคู่ขนานและมุมตรงข้าม ด้วยการสร้างเส้นคู่ขนานสมมุติขึ้นจากทิศทางของแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบพื้นโลกในวันนั้น ลำแสงอาทิตย์ ณ เมือง Syene จะตั้งตรง ซึ่งเขาโยงไปยังแกนกลางโลก (SC) ส่วนที่เมือง Alexandria ฐานของอนุสาวรีย์จะชี้ไปยัง (BOC) จะต้องมีค่าเท่ากับมุมตรงข้าม ณ ศูนย์กลางโลก (OCS)
คำถามต่อไปคือมุม OCS มีค่าเป็นเท่าไรของวงกลม เอราทอสเทนีส วัดระยะทางนี้ได้ 1/50 ของวงกลม โดยระยะทางระหว่าง Syene และ Alexandria (WO) ชาวอียิปต์วัดได้ 5,000 stades ดังนั้น เขาจึงวัดเส้นรอบโลกได้เท่ากับ 50×5,000 หรือ 250,000 stades โดย 10 stades เท่ากับ 1 ไมล์ ดังนั้นความยาวของเส้นรอบโลกของเขา จึงเท่ากับ 25,000 ไมล์ ซึ่งถือกันว่าใกล้กลับความจริงมากที่สุดเท่าที่มีการวัดมาของปราชญ์กรีกโบราณ ทั้งนี้เพราะเส้นรอบโลกวัดจากขั้นโลกเท่ากับ 24,860 ไมล์ อย่างไรก็ดีระยะทางระหว่างเมือง Syene กับAlexandria ที่แท้จริงเท่ากับ 453 ไมล์
เอราทอสเทนีส เขียนหนังสือบรรยายถึงดินแดนที่มนุษย์ สามารถอาศัยอยู่ได้ หรือ ekumene (เอราทอสเทนีส เชื่อว่า ดินแดนที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้แผ่ขยายจากเมือง Thule ทางเหนือลงมาถึง Taproban (Ceylon หรือศรีลังกา) ทางใต้ ส่วนทางตะวันตกเริ่มจากมหาสมุทรแอตแลนติคไปถึงอ่าวเบงกอลทางตะวันออก) ซึ่งเขายอมรับว่ามีอยู่จริง และยังได้แบ่งโลกออกเป็นสามส่วนคือ ยุโรป เอเชีย และลิเบีย นอกจากนี้ยังยอมรับการแบ่งส่วนของโลกออกเป็น 5 ส่วนที่ Aristotle เสนอไว้ ได้แก่ เขตร้อน (torrid zone) เขตอบอุ่น 2 เขต (two temperate zone) และเขตหนาวเย็น 2 เขต (two frigid zone) เขาได้เสนอแนะเพิ่มเติม โดยใช้คณิตศาสตร์เข้าช่วยในการกำหนดเขตดังกล่าว กล่าวคือ เขตร้อนนั้น เขาคิดว่ามีความกว้างประมาณ 48 องศา โดยอยู่ระหว่างลติจูด 24 องศาเหนือ–ใต้ เขตหนาวเย็นกระจายอยู่ที่ขั้วโลกราว 24 องศา หรือตั้งแต่ลติจูด 84 องศาเหนือ–ใต้ขึ้นไป ขณะที่เขตอบอุ่นเป็นเขตที่อยู่ตรงกลางระหว่างลติจูด 24–84 องศาเหนือใต้








วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วอดก้ามีประโยชน์มากกว่าการดื่ม

วอดก้ามีประโยชน์มากกว่าการดื่ม







ขวดวอดก้าที่คุณมีติดบ้านไว้ แต่ไม่ค่อยได้ดื่ม รู้ไหมว่าวอดก้าสามารถช่วยคุณในเรื่องงานบ้านได้เหมือนกัน ถ้าเกิดปัญหาเหล่านี้ วอดก้าช่วยคุณได้สารพัดเลย

ลดกลิ่นอับบนเสื้อผ้า
วอดก้านั้นช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียตกค้างในเสื้อผ้าได้ และยังไร้กลิ่น คุณจึงสามารถนำไปฉีดพรมบนเสื้อผ้า แล้วนำไปผึ่งให้แห้งในที่ที่ระบายอากาศได้ดี จากนั้นก็นำมาใส่ได้ทันที
ช่วยให้ดอกไม้สดนาน 
แค่ใส่วอดก้าเพียงหยดเดียว กับน้ำตาลหยิบมือเล็กๆ ผสมลงไปในน้ำที่ใส่แจกันดอกไม้ ก็ช่วยให้ดอกไม้อยู่เพิ่มความสดใสให้บ้านคุณนานขึ้น
ฉีดไล่แมลงวัน
ถ้าไม่คิดว่าเป็นการลงทุนที่สูงเกินไปล่ะก็ หากคุณนำวอดก้าใส่ขวดสเปรย์แล้วนำไปฉีดพ่น จะเป็นยาไล่แมลงวันและแมลงรบกวนอื่นๆได้
ช่วยฆ่าวัชพืช
วอดก้าหนึ่งออนซ์ผสมกับน้ำยาล้างจานสองสามหยด และน้ำเปล่า 2 ถ้วย สามารถนำไปฉีดพ่นฆ่าวัชพืชเล็กๆได้
ล้างพิษสัตว์ทะเล 
หากปวดแสบปวดร้อนจากแมงกะพรุน ราดวอดก้าบนแผล จะช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนและผิวบวมแดงได้
ลบคราบเปื้อน คราบแน่นๆบนเสื้อผ้า
ใช้วอดก้าผสมกับน้ำยาขจัดคราบ แล้วนำไปซักตามปกติ
น้ำยารีดผ้า 
ตวงวอดก้าประมาณ 3 ออนซ์ กับน้ำมันสกัดจากลาเวนเดอร์ 12 หยด ผสมให้เข้ากันทิ้งไว้ 1 วัน แล้วจึงเติมน้ำบริสุทธิ์ 12 ออนช์ เขย่าให้เข้ากัน นำไปใช้ฉีดพรมผ้าก่อนรีด เก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 6 สัปดาห์ก่อนกลิ่นลาเวนเดอร์จะระเหยไป
ขจัดคราบรา 
ใช้วอดก้าพ่นลงบนคราบราที่ต้องการกำจัด ปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงใช้ผ้าเช็ด หรือใช้แปรงปัดคราบราออก
ช่วยขัดเงา
ไม่ว่าจะเป็นโลหะ เครื่องแก้วหรือดินเผา ถ้าต้องการประกายเงางาม ก็แค่ใช้ผ้าจุ่มลงในวอดก้า นำไปขัดบนวัตถุที่คุณต้องการ ก็จะได้ความเงาวาวชวนว้าวแล้ว
ลอกคราบเหนียวจากสติ๊กเกอร์
แถบกาวสติ๊กเกอร์เหนียวๆ ที่ติดค้างบนผนังและวัตถุอื่นๆ ใช้ฟองน้ำจุ่มในวอดก้า ขัดคราบเหนียวออก แล้วล้างด้วยน้ำผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อย ก็บอกลาคราบกาวได้เลย








อ้างอิงโดย:



วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

13 วิธีการออมเงินอย่างง่าย


13 วิธีการออมเงินอย่างง่าย
            ในเวลาปัจจุบัน เงินเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับคนทุกคน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากเราใช้ไปโดยไม่ยั้งคิดหรือฟุ้มเฟือย ปัจจัยชนิดนี้ก็จะหมดไปโดยฝากความลำบากไว้ให้กับเราในอนาคต ดังนั้นการออมเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ควรปลูกฝังการประหยัดเงินตั้งแต่อายุน้อยเพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเจ้าปีศาจที่ไม่เป็นที่ประสงค์ของคนทุกคนคือ ความจนกับความลำบาก นั้นเอง
            วิธีการในการออมเงิน สามารถทำได้ดังนี้
1.      ลงทุนซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่พบเห็นบ่อยครั้ง เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ บนหัวเตียง ข้างรูปสุดที่รัก หรือแม้แต่หน้าห้องอาบน้ำ เป็นต้น เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ้มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ
2.      หัดรู้จักคำว่า ความจำเป็น กับ น่ารัก เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน การซื้อโดยคำนึงแต่คำว่าน่ารักแล้วอยากได้อย่างเดียวนั้นไม่พอดังนั้นจึงควรคิดพิจารณาก่อนหยิบยื่นตรงแคชเชียร์ทุกครั้ง จะได้ไม่เสียใจเมื่อซื้อในภายหลัง เว้นแต่ว่าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้จริงๆ เห็นสิ่งอื่นๆที่สวยกว่าเราไม่สนและเหมาะสมกับสภาพเงินที่มีก็สมควรซื่อได้เพื่อสนองความต้องการ
3.      วิธีนี้สำหรับคนที่ชอบจดชอบเขียนคือทำ แบบบันทึกรายรับรายจ่าย อาจทำเป็นสมุดเล่มเล็กเพื่อพกพาไปได้ทุกที่ จ่ายอะไรไปก็จดไว้ ได้มายังไงก็จดไป พอครบกำหนดก็รวมรายรับรายจ่าย วิธีนี้สามารถตรวจต่อมความฟุ้มเฟือยของเราได้เป็นอย่างดี
4.      หากรู้ตัวว่าต้องไปในที่ๆมีแต่ของฟุ้มเฟือย แพงหูฉีกจนแม้แต่เกิดใหม่ซักกี่ชาติก็ไม่สามารถหาตังค์มาซื้อได้ ให้ท่านยืนสงบนิ่งซักแป็บ แล้วเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋า จะได้ไม่ต้องพกให้เมื่อยกุงเกงแถมประหยัดอีกต่างหาก
5.      ซื้อกระเป๋าที่มีช่องลับเยอะๆสำหรับพกไปเดินห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของสุรุ่ยสุร่าย เอาไว้ซ่อนเงินแล้วเวลาเกิดอยากได้อะไร พอเปิดกระเป๋าก็จะหาไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเสียเงิน ประหยัดแบบวัยรุ่นยุคใหม่ ได้ทั้งความเท่ ประหยัดและปลอดภัยจากมิจฉาชีพ (แต่ต้องไม่ซ่อนจนลืมที่ซ่อนนะ)
6.      เอาเงินไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ อันนี้เป็นวิธีที่หลายคนนิยม ปลอดภัยสุดๆเมื่อเม็ดเงินของคุณถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้นิรภัยหนากว่าฟุต
7.      ฝึกทำงานพิเศษ หารายได้ด้วยตนเองโดยไม่ง้อแบเงินขอพ่อแม่ให้ลำบากท่าน วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนอยู่และจบทำงานแล้ว เพื่อฝึกให้เห็นถึงความลำบากของการหาเงินและคุณค่าของเงินที่หลายคนหลงลืมไป
8.      ซื้อของลดราคา สามารถหาได้ง่ายตามศูนย์การค้าทั่วไป (แม้แต่คนเขียนยังชอบ)
9.      เอาล่ะสิ วิธีนี้เหมาะกับแม่บ้านหัวไวหรืออนาคตนักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ คิดเลขเร็วไง...เวลาซื้ออะไรก็รวมรายจ่ายไว้ในสมอง ใช้ประกอบกับข้อสองวิธีนี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เผลอๆโตขึ้นได้ติดอันดับกินเนสบุคด้านคิดเลขเร็ว
10.  อย่าหลงคำโฆษณาชวนเชื่อจากปากโฆษกขี้โว (ขี้โม้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชอบชวนคุยและพวกที่ยิ่งคุยเข้าหูเราก็ยิ่งต้องระวังกันใหญ่
11.  ฝากเงินไว้ที่เพื่อน นัดเวลาเอาเงินคืน ถือเป็น ATM  เคลื่อนที่ไปในตัว แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อเราจริงๆเดี๋ยว ATM จะกลายเป็นตู้หยอดเหรียญแทน (ให้แล้วไม่ได้คืนอะดิ)
12. อยู่ว่างๆร้องเพลง "คนมีตังค์" ดังๆ ได้ทั้งความสนุก สู้ชีวิต เผลอๆได้ (เศษ) ตังค์จริงๆด้วย
13.เรียนรู้กับหลักดำเนินชีวิตที่ในปัจจุบันกำลังนิยมมากคือ เศรษฐกิจพอเพียง ในข้อนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ในหลวงของเราทรงย้ำเตือนคนไทยมากว่าหลายปี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถวายเป็นความภักดีเพื่อพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย



                                        อ้างอิงโดย: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=979352

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บางระกำโมเดล


>>>>  บางระกำโมเดล<<<<



บางระกำ เป็น 1 ใน 9 อำเภอของจังหวัดพิษณุโลก บางระกำ เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำลุ่มน้ำยม ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักสายเดียวของภาคเหนือที่ยังไม่มีเขื่อนขนาดใหญ่รองรับกักเก็บน้ำอำเภอบางระกำ เป็นพื้นที่รับน้ำต่อจากจังหวัดสุโขทัย จึงหนีไม่พ้นเมื่อฤดูน้ำหลาก บางระกำ ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีแล้วปีเล่าท่วมซ้ำซากมายาวนาน จนเรียกได้ว่าน้ำท่วมบางระกำกลายเป็นวิถีชีวิตคนบางระกำไปแล้วก็ว่าได้ น้ำท่วมจึงเป็นทั้งวิกฤตและโอกาสของคนบางระกำ วิกฤต คือคนบางระกำได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขังเป็นแรมเดือน ในแต่ละปีที่ถูกน้ำท่วม สิ่งที่มากับน้ำนั่นคือปลา จึงเป็นโอกาส ของคนหาปลา ที่ช่วงฤดูน้ำหลากจะทำให้พวกเขาเหล่านั้น มีอาชีพมีรายได้จากการหาปลา ขายปลา ทำรายได้ไม่น้อยในแต่ละปี
 
     บางระกำ กลายเป็นที่ฮือฮา เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เมื่อ"บางระกำโมเดล"ได้ถูกหยิบยกมามากล่าวถึงจากปากนายกรัฐมนตรี(นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) แล้วบางระกำโมเดลคืออะไร อะไรคือบางระกำโมเดล ขอเล่าสู่กันฟังอย่างนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าในปี 2554 นี้ ในพื้นที่ภาคเหนือหลายจังหวัดประสบกับภัยพิบัติน้ำท่วม จังหวัดพิษณุโลกเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมเช่นกัน โดยเฉพาะอำเภอบางระกำ ต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมอย่างหนัก ระดับน้ำที่เข้าท่วมพื้นที่บางระกำใกล้เคียงกับน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2549 ทีเดียว ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมและได้ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2554 โดยท่านนายกรัฐมนตรี ได้แวะพักและเปลี่ยนเครื่องบินที่จังหวัดพิษณุโลก ถือเป็นโอกาสดีของจังหวัดพิษณุโลก ที่นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้ขอโอกาสและขอเวลานายกรัฐมนตรี สั้นๆประมาณ 10-15 นาที เพื่อสรุปสถานการณ์น้ำท่วมและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุกทกภัย ในพื้นที่ให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกยังได้เสนอแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ระบบทางด่วนน้ำ (warter way) ซึ่งตรงใจนายกรัฐมนตรี ได้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชิงบูรณาการ "บางระกำโมเดล" ขึ้นมา ในการประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม ครั้งที่ 2/2554 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2554 ณ กระทรวงมหาดไทย มีการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยนายยกรัฐมนตรีได้หยิบยก "บางระกำโมเดล" มากล่าวถึง และมีบัญชาให้นำบางระกำโมเดลที่จังหวัดพิษณุโลก ไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเชิงบูรณาการ หัวใจสำคัญของบางระกำโมเดลที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง คือเมื่อเกิดปัญหาข้นมาจังหวัดและหน่วยงาน จะต้องเข้าชาร์จหรือเทคแอ็คชั่น ด้วยการลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน อย่างรวดเร็ว ทันที ทันเหตุการณ์ และถูกจุด ลดความรู้สึกของประชาชนที่ประสบภัยว่า ถูกทอดทิ้งหรือไม่ได้รับการเหลียวแลจากราชการ โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายการดำเนินงานบางระกำโมเดล โดยใช้หลัก 2P2R หลังจากรับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ไม่รอช้าเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมสังการให้มีการขับเคลื่อน "บางระกำโมเดล" ทันที
 
แนวทางดำเนินงานบางระกำโมเดล
 
     1. การเตรียมการ ( Preparation )
         จังหวัดจะต้องมีการจัดทำคลังข้อมูล ด้านพื้นที่ ที่แบ่งเป็นพื้นที่วิกฤต พื้นที่เสี่ยง พื้นที่เฝ้าระวัง รวมถึงข้อมูลพื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับสภาพปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและอำเภอบางระกำ ข้อมูลการช่วยเหลือประชาชน เช่น การแจกถุงยังชีพ งบประมาณ และอื่นๆ โดยมอบหมายให้กลุ่มยุทธศาสตร์สำนักงานจังหวัดเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลกเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ในการวางแผนให้ชัดเจนเป็นระบบ
 
     2. การช่วยเหลือเบื้องต้น ( Respones )
          จังหวัดมอบหมายให้อำเภอพื้นที่ เป็นแม่งานที่จะต้องระดมสรรพกำลังเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยอย่างรวดเร็ว ทันที ถูกจุดในเบื้องต้น เนย้นในเรื่องของปัจจัย 4 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ให้อำเภอบางระกำเป็นแม่งาน "บางระกำโมเดล" ซึ่งจะต้องจัดทีมและแบ่งงานช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯอำเภอ จัด Call Center อยู่เวรตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อคอยรับข่าวสาร แจ้งการช่วยเหลือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าปฏิบัติการช่วยเหลือได้ทันที และจังหวัดมอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จัดทีมแพทย์ พยาบาล เข้าดูแลช่วยเหลือในเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วยของประชาชนที่ถูกน้ำท่วม
 
     3. การฟื้นฟู เยียวยา ( Recovery )
          จังหวัดมอบหมายให้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลก เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ที่ดูแลในเรื่องข้อมูลการฟื้นฟูเยียวยาภายหลังน้ำลด และประสานงานกับหน่วยงานร่วม ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเกษตร(พืช) ด้านประมง ด้านปศุสัตว์ ด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูจิตใจ ด้านศาสนสถาน ด้านสถานศึกษา ด้านลูกค้าของ ธ.ก.ส. รวมถึงด้านการประชาสัมพันธ์
 
     4. การแก้ไขระยะยาว ( Prevention )
          จังหวัดได้มอบหมายให้ โครงการชลประทานพิษณุโลกเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ที่จะต้องวางแผนจัดหางบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว ที่จะต้องมีการบริหารจัดการกับน้ำเกิน และจัดการกักเก็บน้ำที่จะนำมาใช้ในฤดูแล้ง ทั้งในเรื่อง ระบบทางน้ำด่วน (Water Way) การจัดทำแก้มลิง การจัดทำคลองเชื่อมแก้มลิง การจัดทำแก้มลิงขนาดใหญ่ให้เป็นพื้นที่เช่า และการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำยม












     ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า บางระกำโมเดล ไม่ใช่สูตรสำเร็จหรือยาวิเศษ จนผู้คนเข้าใจผิดคิดกันว่า เมื่อเกิดหรือมีบางระกำโมเดลแล้ว ปัญหาน้ำท่วมบางระกำจะหมดไป นั่นไม่ใช่ แม้จะมีบางระกำโมเดล น้ำก็จะยังท่วมบางระกำอยู่เพราะบางระกำพื้นที่เป็นที่ลุ่มต่ำ เป็นแอ่งกะทะ ลุ่มน้ำยมของคนบางระกำ ที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอยู่อย่างนี้ เพียงแต่บางระกำโมเดลจะเป็นตัวช่วยหรือเป็นต้นแบบและแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน อย่างบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกียวข้อง ที่จะทำให้ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยมีความเดือดร้อนน้อยลง เพราะเมื่อเกิดภัยทุกฝ่ายมีต้นแบบในการเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว ทันที ถูกจุด ลดปัญหาผลกระทบต่างๆที่จะตามมา และบางระกำโมเดลจะช่วยทำให้ประชาชนได้เรียนรู้ว่าอยู่กับน้ำได้อย่างไร นี่คือหัวใจของบางระกำโมเดลที่นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ต้องการให้เกิดขึ้น และจะเป็นความหวังของคนไทยทั่วทั้งประเทศที่จะได้อานิสงส์ ได้รับการดูแลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืนนั่นเอง











                                                       



                                                                   อ้างอิงโดย : http://region4.prd.go.th/ewt_news.php?nid=6253

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อันดับมหาลัยในไทยล่าสุดปี 2555


เมื่อมีการประกาศการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยที่จัดอยู่ในอันดับท้าย ๆ จะเริ่มดำเนินการเพื่อไต่อันดับในการประกาศครั้งต่อไป แต่ไม่สำคัญนักเนื่องจากทุกมหาวิทยาลัยจะทำเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นโอกาสที่จะเพิ่มคุณภาพในชั้นเรียนและเป็นเหตุผลที่น่าชื่นชม

โปรดดูการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทยโดย Webometrics July 2555 หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับที่มาของการจัดอันดับนั้นสามารถดูได้ที่ webometrics.info



1 > Kasetsart University
2 > Chulalongkorn University
3 > Mahidol University
4 > Prince of Songkla University
5 > Chiang Mai University
6 >  Khon Kaen University
7 >  Thammasat University
8 > King Mongkut&#180;s University of Technology Thonburi
9 > Naresuan University 
10 >  Asian Institute of Technology Thailand
11 > Burapha University
12 > Suranaree University of Technology
13 >  Mahasarakham University
14 > Silpakorn University
15 >King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang
16 >  Srinakharinwirot University
17 > University of the Thai Chamber of Commerce
18 > Ramkhamhaeng University
19 > Sripatum University
20 > Assumption University of Thailand


                                                                                                         
อ้างอิงโดย:   http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2356045

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Data Model


Data Model

                                                     แบบจำลองฐานข้อมูล (Data Model)

1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Model) เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ โครงสร้างต้นไม้ (tree structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลำดับชั้น ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา หรือที่เรียกว่า เป็นการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะความสัมพันธ์แบบ พ่อ-ลูก (Parent-Child Relationship Type : PCR Type)
คุณสมบัติของฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น
1. Record ที่อยู่ด้านบนของโครงสร้างหรือพ่อ(Parent Record) นั้นสามารถมีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน แต่ลูก (Child Record) จะไม่สามารถมีพ่อได้มากกว่า 1 คนได้
2. ทุก Record สามารถมีคุณสมบัติเป็น Parent Record(พ่อ) ได้
3. ถ้า Record หนึ่งมีลูกมากกว่าหนึ่ง Record แล้ว การลำดับความสัมพันธ์
ของ Child Record จะลำดับจากซ้ายไปขวา
ลักษณะเด่น
• เป็นระบบฐานข้อมูลที่มีระบบโครงสร้างซับซ้อนน้อยที่สุด
• มีค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างฐานข้อมูลน้อย
• ลักษณะโครงสร้างเข้าใจง่าย
• เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและออกงานแบบเรียงลำดับต่อเนื่อง
• ป้องกันระบบความลับของข้อมูลได้ดี เนื่องจากต้องอ่านแฟ้มข้อมูลที่เป็นต้นกำเนิดก่อน
ข้อเสีย
• Record ลูก ไม่สามารถมี record พ่อหลายคนได้ เช่น นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้มากกว่า 1 วิชา
• มีความยืดหยุ่นน้อย เพราะการปรับโครงสร้างของ Tree ค่อนข้างยุ่งยาก
• มีโอกาสเกิดความซ้ำซ้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบฐานข้อมูลแบบโครงสร้างอื่น
• หากข้อมูลมีจำนวนมาก การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา เนื่องจากจะต้องเข้าถึงที่ต้นกำเนิดของข้อมูล

2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Model) - ลักษณะฐานข้อมูลนี้จะคล้ายกับลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่ในลักษณะฐานข้อมูลแบบเครือข่ายนี้สามารถมีต้นกำเนิดของข้อมูลได้มากกว่า 1 และยินยอมให้ระดับชั้นที่อยู่เหนือกว่าจะมีได้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่าระดับชั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว
- ลักษณะโครงสร้างระบบฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะมีโครงสร้างของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห
ข้อดี
• ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
• สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบไป-กลับ ได้
• สะดวกในการค้นหามากกว่าลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกำเนิดโดยทางเดียว และการค้นหาข้อมูลมีเงื่อนไขได้มากและกว้างกว่าโครงสร้างแบบลำดับชั้น

3. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Model) เป็นการจัดข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มิติ คือมี แถว (Row) และ คอลัมน์ (Column) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะใช้ Attribute ที่มีอยู่ทั้งสองตารางเป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูล
ข้อดี
• เหมาะกับงานที่เลือกดูข้อมูลแบบมีเงื่อนไขหลายคีย์ฟิลด์ข้อมูล
• ป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี เนื่องจากโครงสร้างแบบสัมพันธ์นี้ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร จึงสามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือถูกแก้ไขได้ดี
• การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย มีความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก อาจมีการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำงานได้
ข้อเสีย
• มีการแก้ไขปรับปรุงแฟ้มข้อมูลได้ยากเพราะผู้ใช้จะไม่ทราบการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร
• มีค่าใช้จ่ายของระบบสูงมากเพราะเมื่อมีการประมวลผลคือ การอ่าน เพิ่มเติม ปรับปรุงหรือยกเลิกระบบจะต้องทำการสร้างตารางขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ในแฟ้มข้อมูลที่แท้จริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

4. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object Oriented Model)

• ใช้ในการประมวลผลข้อมูลทางด้านมัลติมีเดีย คือ มีข้อมูลภาพ และเสียง หรือข้อมูลแบบมีการเชื่อมโยงแบบเว็บเพจ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับ Relation Model
• มองสิ่งต่างๆ เป็น วัตถุ (Object)

วัตถุประสงค์ของแบบจำลองข้อมูล
• เพื่อนำแนวคิดต่างๆ มาเสนอให้เกิดเป็นแบบจำลอง
• เพื่อนำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่นเดียวกันการดูแปลนบ้านที่จะทำให้เราเข้าใจโครงสร้างบ้านได้เร็ว
• เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้ออกแบบฐานข้อมูลกับผู้ใช้ให้ตรงกัน


ประเภทของแบบจำลองข้อมูล


• ประเภทของแบบจำลองข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Conceptual Models คือ แบบจำลองแนวคิดที่ใช้พรรณนาลักษณะโดยรวมของข้อมูลทั้งหมดในระบบ โดยนำเสนอในลักษณะของแผนภาพ ซึ่งประกอบด้วยเอนทีตีต่างๆ และความสัมพันธ์ โดยแบบจำลองเชิงแนวคิดนี้ต้องการนำเสนอให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้ออกแบบและผู้ใช้งาน คือเมื่อเห็นภาพแบบจำลองดังกล่าวก็จะทำให้เข้าถึงข้อมูลชนิดต่างๆ
2. Implementation Models เป็นแบบจำลองที่อธิบายถึงโครงสร้างของฐานข้อมูล
คุณสมบัติของแบบจำลองข้อมูลที่ดี
• 1. ง่ายต่อความเข้าใจ
• 2. มีสาระสำคัญและไม่ซ้ำซ้อน หมายถึง แอตทริบิวต์ในแต่ละเอนทีตี้ไม่ควรมีข้อมูลซ้ำซ้อน
• 3. มีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการปรับปรุงในอนาคต กล่าวคือแบบจำลองข้อมูลที่ดีไม่ควรขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชันโปรแกรม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ นั่นคือความเป็นอิสระในข้อมูล

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เปิดแอร์พร้อมกับพัดลม ใครบอกเปลืองไฟ ประหยัดต่างหาก


เปิดแอร์พร้อมกับพัดลม ใครบอกเปลืองไฟ ประหยัดต่างหาก


 คุณๆอ่านถูกแล้วครับ และผมก็ไม่ได้พิมพ์ผิดด้วย เปิดแอร์แล้วรบกวนช่วยเปิดพัดลมด้วยครับ ที่พูดเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลรองรับ ซึ่งอธิบายคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ
สภาวะความสบายของคนไทยอยู่ที่อุณหภูมิ 22-29 องศาเซนเซียส และ ความชื้นสัมพัทธ์ 20-75 % ตอนนี้เห็นรณรงค์ให้ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศกันที่ 25 องศาเซนเซียสซึ่งถือว่าดีครับ ไม่ร้อนไปไม่หนาวไป ส่วนความชื้นสัมพัทธ์ ถ้าน้อยเกินไปท่านจะรู้สึกว่าจมูกแห้ง ถ้ามากเกินไป (จะรู้สึกเวลาฝนตก) จะรู้สึกร้อนครับเพราะเหงื่อจะออกได้ยากเนื่องจากมีความชื้นในอากาศสูง ดังนั้นเครื่องปรับอากาศที่ดี จะต้องทำ 2 หน้าที่เป็นอย่างน้อย คือควบคุมอุณหภูมิ และรักษาระดับความชื้นสัมพัทธ์ได้ดีด้วย ส่วนแรงลมที่ปะทะตัวเรา จะรู้สึกสบายที่ ความเร็วลมประมาณ 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เปรียบเทียบได้กับการเปิดพัดลมเบอร์ 3 ห่าง 3 เมตรครับ) ที่สำคัญที่ความเร็วลมระดับนี้ จะทำให้เรารู้สึกเย็นลง 2 องศาเซนเซียสครับ
เอาล่ะครับ .. ทีนี้เข้าเรื่องของเราแล้วนะครับ .. การคิดค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าจะคิดเป็นยูนิต (unit) ครับ
โดย ปริมาณ unit = กำลังไฟฟ้า(วัตต์)/1000xh(ชั่วโมงที่ใช้งาน)  
 (กำลังไฟฟ้า(วัตต์)/1000 ก็คือ 1 กิโลวัตต์ครับ มีค่าเท่ากับ 1 unit)
กำลังไฟฟ้าดูได้จากคู่มือของเครื่องใช้ไฟฟ้าครับ แต่หากในคู่มือไม่ได้บอกกำลังไฟฟ้า ก็มักจะบอกเป็นแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้ามาแทนครับ คิดได้จากสูตรการคิดกำลังไฟฟ้าครับ  
กำลังไฟฟ้า = volt(แรงดัน) x amp(กระแส)
ทีนี้เราลองมาคำนวณกันเล่นๆครับ สมมติ
แอร์ 1 ตัว ใช้ไฟ 1320 วัตต์  เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ทำงานจริง 6 ชั่วโมง
(ปกติแอร์จะหยุดทำงานเมื่อได้อุณหภูมิที่ต้องการ) จะต้องใช้ไฟฟ้าวันละ
1320 / 1000 x 6 = 7.92 unit {จากสูตร กำลังไฟฟ้า(วัตต์)/1000xh(ชั่วโมงที่ใช้งาน) }
ตั้งอุณหภูมิสูงขึ้น 2 องศา เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง หนึ่งชั่วโมง
1320 /1000 x 5 = 6.60 unit
ลดการใช้พลังงานได้วันละ 1.32 unit คิดเป็นเดือนละ 39.6 unit
(ค่าไฟฟ้า 2.54 บาท ต่อ ยูนิต) ประหยัดได้เดือนละ 100 บาท
พัดลม 1 ตัว ใช้ไฟฟ้า 40 วัตต์ เปิดวันละ 8 ชั่วโมง
จะต้องใช้ไฟฟ้าวันละ 40/1000 x 8 = 0.32 unit
คิดเป็นเดือนละ 9.6 unit
จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้า เดือนละ 24.3 บาท

สรุปรวมแล้ว ท่านช่วยชาติประหยัดพลังงานไปเดือนละ 30 unit และ ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เดือนละ 75 บาทครับ
ดังนั้นท่านอาจจะตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 27 องศาเซนเซียส แล้วเปิดพัดลมเบาๆ ไปพร้อมๆกัน ท่านจะรู้สึกเหมือนกับอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิ 25 องศาเซนเซียส และน่าจะสบายกว่าเปิดแอร์อย่างเดียวด้วย เพราะมีลมเบาๆเข้าปะทะร่างกายอยู่ตลอด ทั้งยังจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากทีเดียวครับ

 อ้างอิงโดย :http://www.gotoknow.org/blogs/posts/39075?

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เผย 10 ทฤษฎี ความเป็นไปได้ สู่ยุค โลกาวินาศ



สื่อนอกจัดอันดับ 10 ทฤษฎี ความเป็นไปได้ ที่ทำให้เกิด โลกาวินาศ วันสิ้นโลก
Mthai News : เว็บไซต์ เทเลกราฟ ประเทศอังกฤษ รายงาน 10ทฤษฎี ความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดโลกาวินาศ โดยยกหลักฐาน พร้อมให้คะแนนความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ดังนี้
1.การบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาว และการยึดครองจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก
เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องที่ยังคงถกเถียงกันมาเป็นเวลานาน ยังไมีใครสามารถยืนยันได้ว่า นนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้อ้างว่า พบเห็นมนุษต่างดาว ยานอวกาศ อย่างต่อเนื่อง
การบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาวเคยเป็นเรื่องราวในนวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นจากดาวอังคาร และดาวดวงอื่นๆ? แต่ทว่า มนุษย์ก็ยังคงหวาดกลัวว่า เหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจริงขึ้นมาก็ได้ อีกทั้งหลักฐานต่างๆที่พบ ยิ่งสนับสนุนทฤษฎีนี้
หลักฐาน ภาพถ่าย วีดิโอ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจากประเทศต่างๆที่มีการเตรียมพร้อมรับมือ และตรวจสอบยานอวกาศนานกว่า 50 ปี
คะแนนความเป็นไปได้ 0.1 เต็ม 10

2.ดาวปริศนา Nibiru (Planet X)
ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาทางพิสูจน์กันอยู่ว่า ดาวลึกลับในตำนาน มีอยู่จริงหรือไม่? และถ้ามี ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?
ดาวดังกล่าวถูกเชื่อมโยงถึงเรื่องปรากฏการณ์วันสิ้นโลก อยู่ในกาแลกซี่เดียวกับโลกของเรา มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru) เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ มีความเป็นไปได้ที่มันจะโคจรมาทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลก นั่นแสดงว่า มันมีสิทธิชนโลกได้ คาดว่าในปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ เพราะมันโคจรใกล้กับโลกของเราเต็มที

หลักฐาน
 องค์การนาซ่า (NASA)ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในปี ค.ศ.2005 แต่ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวมีการเปิดเผยน้อยมาก และยังไม่แน่นพอ
คะแนนความเป็นไปได้ 0.2 เต็ม 10

3.ภัยพิบัติจากดวงอาทิตย์
ตามปฏิทินของชาวมายัน โดยอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าดวงอาทิตย์จะนำโลกไปสู่หายนะในปี 2012 การขับแก๊ส และการปะทุของดวงไฟขนาดใหญ่ สร้างความเสียหายแก่มวลมนุษย์ และระบบนิเวศในโลกจนสิ้น
หลักฐาน ปฏิทินของชาวมายัน อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้ เนื่องจากมีการสังเกตวงโคจรของดวงอาทิตย์กว่า 11 ปี แม้หลักฐานค่อนข้างอ่อน แต่แสงจากดวงอาทิตย์ ก็สามารถสร้างปัญหาให้กับมนุษย์ได้ เช่น ระบบดาวเทียม การเดินทางของนักบินอวกาศ หากในอนาคต ดวงอาทิตย์หมดเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน นักวิทยาศาตร์ต่างเชื่อว่า ดวงอาทิตย์จะขยายตัวเป็นเชื้อเพลิงสีแดงขนาดใหญ่ เขมือบโลกจนวินาศ
คะแนนความเป็นไปได้? 0.3 เต็ม 10

4.การเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก
สนามแม่เหล็กหลักที่ถูกสร้างขึ้นโดยกระแสการไหลอันรุนแรงของเหล็กที่หลอมเหลวของ แกนรอบนอกของโลกนั้นบางครั้งจะกลับทิศทางของมัน ด้วยเหตุนี้เข็มของเข็มทิศจะชี้ไปทางใต้แทนที่จะชี้ไปทางเหนือ การกลับหัวของขั้วเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นนับร้อยครั้งที่ช่วงระยะเวลาไม่แน่นอนในประวัติศาสตร์ของโลก? ครั้งล่าสุดก็ประมาณ 780,000 ปีก่อน แต่นักวิทยาศาสตร์นั้นก็ยังพยายามที่จะศึกษาว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมมันถึงได้เกิดขึ้น
เหตุนี้เองเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ถูกเชื่อว่า จะเป็นสาเหตุให้การหมุนของโลกปั่นป่วน เกิดความหายนะตามมา
หลักฐาน นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton และ Paul Sabatier ประเทศฝรั่งเศส ชี้ให้เห็นว่า โลกของเรามีการหมุนตัวกลับทิศด้วยตัวมันเองมานานกว่า 800 ล้านปี นอกจากนี้ยังมุ่งความสนใจไปยังหินที่บรรจุหลักฐานของจำนวนครั้งที่สนามแม่เหล็กหลัก เหนือใต้นั้นได้อ่อนกำลังลง ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าขั้วแม่เหล็กนั้นอาจจะกลับทิศทาง
คะแนนความเป็นไปได้? 1 เต็ม 10

5.การระเบิดภูเขาไฟครั้งร้ายแรงที่สุด
การปะทุของวันสิ้นโลก เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า แมกม่าขนาดใหญ่จะขยายตัวภายในเปลือกโลก จนกระทั่งปะทุออกมา ผลก็คือ พื้นที่โลกมหาศาลถูกทำลายล้าง
หลักฐาน หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมของผิวโลกพบว่า มีการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนไหวของหินหลอมละลาย 10 ไมล์ ใต้ผิวโลก
คะแนนความเป็นไปได้? 1 เต็ม 10

6.สงครามโลกครั้งที่สาม
การขัดประโยชน์กันเอง นำไปสู่ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือของเหล่ามวลมนุษย์ ทุกชีวิตจะล้มตาย ส่วนที่เหลือ จะได้รับความลำบากทุกข์ยาก ขาดแคลนทั้งเสบียง อาหาร น้ำดื่ม มนุษย์จะฆ่ากันเอง พื้นที่หลายส่วนจะถูกลบทิ้งออกจากแผนที่โลก บางแห่งอาจจะหายไปทั้งประชากรและแผ่นดิน สิ่งที่ไม่น่าเกิดก็จะเกิดขึ้น รวมถึงภัยพิบัติต่างๆตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ที่ผ่านมามีการแข่งขันด้านระเบิดนิวเคลียร์จากทั้งฝ่ายตะวันตก และตะวันออก มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องตลอดปี 1970 และ 1980
หลักฐาน สงครามระหว่างประเทศเพิ่มระดับความขัดแย้งเป็นระดับโลก อาทิ สงครามเกาหลีเหนือ-ใต้ การเตรียมความพร้อมระเบิดนิวเคลียร์ในจีน มหาอำนาจยักษ์ใหญ่

คะแนนความเป็นไปได้? 1.5 เต็ม 10

7.โลกาวินาศจากเหตุก่อการร้าย
ตั้งแต่การโจมตีก่อการร้าย ในกรุงนิวยอร์ค และวอชิงตัน สหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 3 พันคน กลุ่มก่อการร้ายอัลเคดาห์ และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ มีบทบาทสร้างความหวาดกลัวแก่มวลมนุษยชาติ ทั้งการสะสมอาวุธสงคราม การทำลายล้างสิ่งก่อสร้าง การปล่อยสารเคมี และการโจมตีทางชีวภาพ ทั้งอังกฤษ และสหรัฐถูกตั้งเป้าเป็นแหล่งโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย
หลักฐาน บิน ลาดิน? ผู้ก่อตั้งขบวนการอิสลามแนวหน้านานาชาติเพื่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านชาวยิว และพวกคริสเตียน (Interna-tional Isalamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders) ได้ให้สัมภาษณ์โจมตีอย่างรุนแรงถึงรัฐบาลอเมริกัน ว่าเป็นพวกโหดเหี้ยม ทำร้ายรวมถึงเข้าครอบครองพื้นที่มุสลิม โดยสนับสนุนอิสราเอล และประกาศจะให้บทเรียนที่สาสม ในวัน “ดำมืด” แก่สหรัฐอเมริกา รวมถึงพลเมืองที่ต้องรับผิดด้วย ทั้งนี้ เชื่อกันว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์จ้องสังหารอยู่

คะแนนความเป็นไปได้? 2 เต็ม 10

8.วิกฤติน้ำมัน 
ไม่ว่าจะใช้ความพยายามเท่าใด ปริมาณน้ำมันที่ได้จากการสำรวจขุดเจาะ ก็จะลดลง แนวคิดนี้มาจากการสังเกตปริมาณน้ำมันของแต่ละบ่อที่ขุดเจาะ และเมื่อรวมถึงผลผลิตน้ำมันโดยรวม เมื่อถึงจุดที่สามารถผลิตน้ำมันที่ได้จากแหล่งปิโตรเลียมสูงสุดแล้ว หลังจากนั้น ปริมาณน้ำมันที่สำรวจขุดเจาะได้จากธรรมชาติจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้พลังงานก็จะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เข้าลักษณะอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน ไปถึงจุด Peak Oil นั่นคือ?จุดที่ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่? กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมทั่วโลก
หลักฐาน จุดวิกฤติน้ำมัน เริ่มใกล้เข้ามาทุกที แต่ยังมีคำถามอยู่ว่า
1.มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
2.โลกจะพัฒนาให้มีเชื้อเพลิงใช้เป็นทางเลือกอื่นอีกหรือไม่
คะแนนความเป็นไปได้? 4 เต็ม 10

9.ปรากฏการณ์ Colony Collapse Disorder (CCD) การล่มสลายของผึ้ง
ผู้เลี้ยงผึ้งในสหรัฐรวม 22 มลรัฐ? พบว่าผึ้งที่เลี้ยงอยู่กว่าร้อยละ 50 หายสาบสูญไปจากรัง? ปล่อยให้นางพญาและตัวอ่อนอดตายคารัง? ปรากฏการณ์? CCD นี้ยังเกิดลุกลามไปยุโรป? คือ โปแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี? สาเหตุที่เดากันและพยายามหาคำตอบอยู่ในเวลานี้สันนิษฐานว่า
1.เป็นเพราะผลกระทบจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม
2.การเกิดโรคระบาด
3.การใช้ยาฆ่าแมลง
4.ผลจากการที่พืชตัดต่อพันธุกรรมเข้าไปปนเปื้อนกับธรรมชาติ
5.คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ดังนั้น กุญแจสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์จะขาดหายไป อันเนื่องจาก วัฏจักรสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศไม่สมบูรณ์ อาหารที่ผลิตโดยผึ้งขาดแคลน อาทิ ถั่วเหลือง องุ่น แอปเปิล ทานตะวัน และอื่นๆ
หลักฐาน การสูญหายไปจากรังของผึ้ง ลุกลามไปยังพื้นที่ยุโรป
คะแนนความเป็นไปได้? 7 เต็ม 10


10. การล่มสลายของสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต 
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน นำไปสู่หายนะโลกาวิบัติในไม่ช้า เห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผ่านมา เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น มนุษย์ ซึ่งต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบโดยตรง
หลักฐาน อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
คะแนนความเป็นไปได้? 7 เต็ม 10


อ้างอิงโดย http://news.mthai.com/world-news/97963.html