วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

เกาะโอกะชิมะ














เกาะโอกะชิมะ (Aogashima) ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในทะเลฟิลิปปินส์ ห่างจากกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นไปทางทิศใต้ ประมาณ 358 กิโลเมตร 

เกาะโอกะซิมะเป็นเกาะที่เกิดภูเขาไฟยุคควอเทอร์นารี (อายุ <2.6 ล้านปี) มีความยาว 3.5 กิโลเมตร และกว้าง 2.5 กิโลเมตร เกิดขึ้นจากการปะทุใต้ทะเลอย่างน้อย 4 ครั้ง ขอบภูเขาไฟเป็นพื้นที่ชันแสดงชั้นหินภูเขาไฟ จัดว่าเป็นภูเขาไฟมีพลัง เคยปะทุล่าสุดเมื่อปีพ.ศ.2324-2328 


เกาะภูเขาไฟโอกะชิมะ มีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายๆ หลุมอุกกาบาตและมีปากปล่องภูเขาอยู่ตรงกลางแอ่ง พื้นที่โดยรอบนั้นประกอบไปด้วยท่าเรือขนาดเล็กที่สามารถรองรับเรือขนาดเล็กเท่านั้น รวมไปถึง ชุมชนเล็กๆ ที่กระจัดกระจายไปรอบๆเกาะ โดยบนเกาะมีที่ทำการไปรษณีย์หนึ่งแห่งและโรงเรียนอีกหนึ่งแห่ง มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 205 คน (ปี 2552)

สำหรับเศรษฐกิจหลักๆของเกาะโอกะชิมะนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นการเกษตร การประมง รวมไปถึงการตกปลา ส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวนั้นถือว่าเป็นส่วนน้อยเพราะมัก เป็นไปตามฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้น

คลิปประกอบ http://youtu.be/1Q9Hhbz93GM
ภาพท่องเที่ยวบนเกาะ http://www.flickr.com/photos/izuyan/sets/72157626606763266/

ตำแหน่ง http://goo.gl/maps/L596S

Photograph via frimminjimbits.blogspot.co.uk

































































อ้างอิงโดย:
http://www.facebook.com/GeoThai


วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

หินเชิร์ต (Cherts)






รูปภาพ : หินตะกอน วันนี้แนะนำ... หินเชิร์ต (Cherts)
หินชั้นเนื้อแน่น แข็ง เหนว ผิวด้านถึงวาวเกือบคล้ายแก้ว มีรอยแตกแบบก้นหอยหรือคล้ายเสี้ยนไม้ มักเป็นผลึกซ่อนรูปหรือจุดผลึก โดยมีควอตซ์ประสานกันอยู่ อาจมีซิลิกาอสัณฐาน(โอพอล)ปนอยู่ด้วย
บ้างครั้งมีสารมลทิน เช่น แคลไซต์ เหล็กออกไซด์ และซากสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย (เช่น radiolaria) มีสีต่างๆ ถ้าสีเข้มเรียกว่า หินเหล็กไฟ (flint) สีแดงเรียกว่าแจสเพอร์ (jasper) สีแดงคล้ายดินเผาเรียกว่า หินพอร์เซลลาไนต์ (porcellanite)
(พจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2544) 
ข้อมูลเพิ่มเติม http://th.wikipedia.org/wiki/หินเชิร์ต

การแปรสภาพ
ชั้นหินเชิร์ตจากภาพ ถูกแรงบีบอัด ทำให้เกิดการคดโค้งของชั้นหินจากเดิมซึ่งวางตัวเป็นระนาบ การคดโค้งจากภาพเรียกว่า Recumbent Chevron Folds โดยมีระนาบแกนชั้นหินคดโค้งวางตัวเกือบขนานกับพื้น

ซากดึกดำบรรพ์
เมื่อนำหินจากภาพมา สกัดด้วยกรดกัดแก้ว และศึกษาภายใต้กล้องจุลทัศน์ จะพบซากบรรพชีวินขนาดเล็กที่เรียกว่า เรดิโอลาเรีย (Radiolaria) สายพันธ์ต่างๆกระจายตัวอยู่ ซึ่งสามารถนำมาศึกษาโครงสร้าง และเทียบเคียง บ่งบอกอายุทางธรณีวิทยาได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php?book=22&chap=8&page=t22-8-infodetail03.html
http://www.radiolaria.org/what_are_radiolarians.htm
http://www.em-consulte.com/en/article/162717

ภาพประกอบจาก ประเทศกรีซ โดย GeoThai.net









หินตะกอน วันนี้แนะนำ... หินเชิร์ต (Cherts)
หินชั้นเนื้อแน่น แข็ง เหนว ผิวด้านถึงวาวเกือบคล้ายแก้ว มีรอยแตกแบบก้นหอยหรือคล้ายเสี้ยนไม้ มักเป็นผลึกซ่อนรูปหรือจุดผลึก โดยมีควอตซ์ประสานกันอยู่ อาจมีซิลิกาอสัณฐาน(โอพอล)ปนอยู่ด้วย
บ้างครั้งมีสารม
ลทิน เช่น แคลไซต์ เหล็กออกไซด์ และซากสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย (เช่น radiolaria) มีสีต่างๆ ถ้าสีเข้มเรียกว่า หินเหล็กไฟ (flint) สีแดงเรียกว่าแจสเพอร์ (jasper) สีแดงคล้ายดินเผาเรียกว่า หินพอร์เซลลาไนต์ (porcellanite)
(พจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2544)
ข้อมูลเพิ่มเติม http://th.wikipedia.org/wiki/หินเชิร์ต

การแปรสภาพ
ชั้นหินเชิร์ตจากภาพ ถูกแรงบีบอัด ทำให้เกิดการคดโค้งของชั้นหินจากเดิมซึ่งวางตัวเป็นระนาบ การคดโค้งจากภาพเรียกว่า Recumbent Chevron Folds โดยมีระนาบแกนชั้นหินคดโค้งวางตัวเกือบขนานกับพื้น

ซากดึกดำบรรพ์
เมื่อนำหินจากภาพมา สกัดด้วยกรดกัดแก้ว และศึกษาภายใต้กล้องจุลทัศน์ จะพบซากบรรพชีวินขนาดเล็กที่เรียกว่า เรดิโอลาเรีย (Radiolaria) สายพันธ์ต่างๆกระจายตัวอยู่ ซึ่งสามารถนำมาศึกษาโครงสร้าง และเทียบเคียง บ่งบอกอายุทางธรณีวิทยาได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php?book=22&chap=8&page=t22-8-infodetail03.html
http://www.radiolaria.org/what_are_radiolarians.htm
http://www.em-consulte.com/en/article/162717

ภาพประกอบจาก ประเทศกรีซ โดย GeoThai.net










อ้างอิงโดย:
http://www.facebook.com/GeoThai

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาพดินถล่มใน La Conchiat แคลิฟอร์เนีย













ภาพดินถล่มใน La Conchiat แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2548 สร้างความเสียหายใหักับบ้านเรือนไม่น้อยกว่า 30 หลัง และมีผู้เสียชีวิต 10 ราย ดินถล่มบริเวณนี้ไม่ใช่เกิดครั้งแรก แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 2538 (สังเกตร่องรอยเก่าด้านซ้ายของรอยถล่มใหม่) ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีการสร้างรั้วป้องกัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงจากเศษหินได้ และก็คงจะไม่ใช่เหตุการณ์ดินถล่มครั้งสุดท้าย

ข้อมูลเพิ่มเติม http://pubs.usgs.gov/of/2005/1067/508of05-1067.html

Photograph by Allen Krivanek



























อ้างอิงโดย:http://www.facebook.com/GeoThai

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ยอดเขา Grose Fermed


รูปภาพ : ยอดเขา Grose Fermede ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ภูเขาหินโดโลไมต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ของยุโรป ยอดที่เห็นนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,873 เมตร

ในภาพแสดงการเอียงเทของชั้นหินไปทางด้านขวา ดูตามพื้นที่หญ้าสีเขียว มีลักษณะค่อนข้างเรียบ แต่เดิมเคยวางตัวอยู่ในแนวระดับ ก่อนที่จะถูกยกตัวและเอียงเทระหว่างการเกิดเทือกเขา ฝั่งสนามหญ้านี้มีความลาดชันน้อยกว่าสันเขาทางซ้ายมือ ซึ่งเกิดจากการถล่มของหินเนื่องจากการผุพัง

ตำแหน่ง  http://goo.gl/maps/qdNFK
คลิปเพิ่มเติม http://youtu.be/dkoE0kgAGpM

Photo credit Kevin Kunstadt via nationalgeographic.rs



ยอดเขา Grose Fermede ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ภูเขาหินโดโลไมต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ของยุโรป ยอดที่เห็นนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,873 เมตร

ในภาพแสดงการเอียงเทของชั้นหินไปทางด้านขวา ดูตามพื้นที่หญ้าสีเขียว มีลักษณะค่อนข
้างเรียบ แต่เดิมเคยวางตัวอยู่ในแนวระดับ ก่อนที่จะถูกยกตัวและเอียงเทระหว่างการเกิดเทือกเขา ฝั่งสนามหญ้านี้มีความลาดชันน้อยกว่าสันเขาทางซ้ายมือ ซึ่งเกิดจากการถล่มของหินเนื่องจากการผุพัง

ตำแหน่ง http://goo.gl/maps/qdNFK
คลิปเพิ่มเติม http://youtu.be/dkoE0kgAGpM

Photo credit Kevin Kunstadt via nationalgeographic.rs

หลุมดูรอยเลื่อน







รูปภาพ : หลุมดูรอยเลื่อนในพิพิธภัณฑ์รอยเลื่อนแผ่นดินไหว เมืองโมโตสึ ประเทศญี่ปุ่น เป็นหลุมที่ขุดตัดขวางแนวรอยเลื่อนเนโอะดาไน (Neodani fault) ซึ่งเป็นรอยเลื่อนตามแนวระดับเลื่อนไปทางซ้าย และมีการเลื่อนในแนวดิ่งด้วย

รอยเลื่อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรอยเลื่อนโนบิ (Nobi fault system) ที่ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8 ในปีพ.ศ.2434 และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนบกในประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 7,000 คน

สังเกตรอยเลื่อนมีการเลื่อนขาดออกจากกันในแนวดิ่ง 6 เมตร โดยฝั่งหินสีดำด้านขวามีการเลื่อนขึ้นเมื่อเทียบกับฝั่งด้านซ้าย ชุดหินสีดำเป็นหินตะกอนและหินบะซอลต์ยุคจูแรสซิกถึงครีเทเชียส ถูกปิดทับด้วยหินกรวดมนของสมัยโฮโลซีน รอยเลื่อนได้ตัดผ่านชุดหินทั้งสองและทำให้ก้อนกรวดที่วางตัวในแนวราบมีการเรียงตัวในแนวดิ่งตรงแนวรอยเลื่อนพอดี

ข้อมูลเพิ่มเติม 
แผ่นดินไหวโนบิ http://en.wikipedia.org/wiki/1891_Mino-Owari_earthquake
ภาพพิพิธภัณฑ์ http://www.glgarcs.net/topics/neodani.html

ฟรี โปสเตอร์กราฟิกรอยเลื่อนตามแนวระดับ http://flic.kr/p/bZDSMJ

Photo credit glgarcs.net







หลุมดูรอยเลื่อนในพิพิธภัณฑ์รอยเลื่อนแผ่นดินไหว เมืองโมโตสึ ประเทศญี่ปุ่น เป็นหลุมที่ขุดตัดขวางแนวรอยเลื่อนเนโอะดาไน (Neodani fault) ซึ่งเป็นรอยเลื่อนตามแนวระดับเลื่อนไปทางซ้าย และมีการเลื่อนในแนวดิ่งด้วย

รอยเลื่อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรอย
เลื่อนโนบิ (Nobi fault system) ที่ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8 ในปีพ.ศ.2434 และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนบกในประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 7,000 คน

สังเกตรอยเลื่อนมีการเลื่อนขาดออกจากกันในแนวดิ่ง 6 เมตร โดยฝั่งหินสีดำด้านขวามีการเลื่อนขึ้นเมื่อเทียบกับฝั่งด้านซ้าย ชุดหินสีดำเป็นหินตะกอนและหินบะซอลต์ยุคจูแรสซิกถึงครีเทเชียส ถูกปิดทับด้วยหินกรวดมนของสมัยโฮโลซีน รอยเลื่อนได้ตัดผ่านชุดหินทั้งสองและทำให้ก้อนกรวดที่วางตัวในแนวราบมีการเรียงตัวในแนวดิ่งตรงแนวรอยเลื่อนพอดี

ข้อมูลเพิ่มเติม
แผ่นดินไหวโนบิ http://en.wikipedia.org/wiki/1891_Mino-Owari_earthquake
ภาพพิพิธภัณฑ์ http://www.glgarcs.net/topics/neodani.html

ฟรี โปสเตอร์กราฟิกรอยเลื่อนตามแนวระดับhttp://flic.kr/p/bZDSMJ

Photo credit glgarcs.net






















































































อ้างอิงโดย:
http://www.facebook.com/GeoThai

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

เขาพนมรุ้ง




รูปภาพ : เขาพนมรุ้ง (ภูเขาสีแดงตรงกลางภาพ) จ.บุรีรัมย์ เป็นภูเขาลูกโดด บริเวณโดยรอบเป็นทุ่งนา สัณฐานภูเขาเมื่อมองจากท่ีราบคล้ายกับกรวยคว่ํา บริเวณยอดเขาเป็นท่ีตั้งของ ปราสาทหินพนมรุ้ง โบราณสถานศิลปะสมัยลพบุรี

เขาพนมรุ้ง เป็นภูเขาไฟดับแล้ว แต่ยังคงสัณฐานภูเขาไฟให้เห็น เป็นผลจากกระบวนการแปรสัณฐานยุคเทอร์เชียรี ส่งแรงดึงกระทําต่อบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จนเกิดลาวาหลากไหลขึ้นกลางแผ่นทวีป ปิดทับหินทรายและหินทรายแป้งปนกรวดของหมวดหินโคกกรวด เมื่อเย็นตัวกลายหินบะซอลต์ชนิดฮาวายไอต์สีเทาดำ มักแสดงร่องรอยการไหลของลาวา บริเวณยอดเขาพบหินตะกรัน ภูเขาไฟ (scoria) และ หินบอมบ์ภูเขาไฟหลายขนาดเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงบริเวณซึ่งเป็นปากปล่องภูเขาไฟ

ตำแหน่ง http://goo.gl/maps/fveas

ข้อมูล กรมทรัพยากรธรณี และ GeoThai.net




เขาพนมรุ้ง (ภูเขาสีแดงตรงกลางภาพ) จ.บุรีรัมย์ เป็นภูเขาลูกโดด บริเวณโดยรอบเป็นทุ่งนา สัณฐานภูเขาเมื่อมองจากท่ีราบคล้ายกับกรวยคว่ํา บริเวณยอดเขาเป็นท่ีตั้งของ ปราสาทหินพนมรุ้ง โบราณสถานศิลปะสมัยลพบุรี

เขาพนมรุ้ง เป็นภูเขาไฟดับแล้ว แต่ยังคงส
ัณฐานภูเขาไฟให้เห็น เป็นผลจากกระบวนการแปรสัณฐานยุคเทอร์เชียรี ส่งแรงดึงกระทําต่อบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จนเกิดลาวาหลากไหลขึ้นกลางแผ่นทวีป ปิดทับหินทรายและหินทรายแป้งปนกรวดของหมวดหินโคกกรวด เมื่อเย็นตัวกลายหินบะซอลต์ชนิดฮาวายไอต์สีเทาดำ มักแสดงร่องรอยการไหลของลาวา บริเวณยอดเขาพบหินตะกรัน ภูเขาไฟ (scoria) และ หินบอมบ์ภูเขาไฟหลายขนาดเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงบริเวณซึ่งเป็นปากปล่องภูเขาไฟ

ตำแหน่ง http://goo.gl/maps/fveas

ข้อมูล กรมทรัพยากรธรณี และ GeoThai.net

อุทยานแห่งชาติไบรซ์แคนยอน







อุทยานแห่งชาติไบรซ์แคนยอน (Bryce Canyon National Park) รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

เอกลักษณ์ของไบรซ์แคนยอนคือ แท่งหินยอดแหลมๆ เรียกว่า ฮูดู (Hoodoos) ที่ขึ้นเรียงกันเป็นแนว มีรูปร่างรูปทรงแปลกประหลาด ตำนานของพวกอินเดียนแดงกล่าวว่า แท่งหินเหล่านี้เกิดจากมนุษย์ที่ต้องคำสาปกลายเป็นหิน

ไบรซ์แคนยอน ประกอบด้วยหินทรายสลับหินดินดาน ตั้งแต่ยุคครีเทเชียสถึงช่วงต้นของมหายุคซีโนโซอิก ตกสะสมตัวในสภาพแวดล้อม
แบบทะเลสาบขนาดใหญ่ จนกระทั่งน้ำตื้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายล้านปี ทำให้เริ่มมีการกร่อนของแม่น้ำที่ไหลผ่านชั้นหิน ร่วมกับการยกตัวของพื้นดินขณะเกิดเทือกเขารีอกกี้ (~70-50 ล้านปีก่อน) จากนั้นก็มีการยกตัวของเปลือกโลกอีกครั้ง และทำให้เกิดที่ราบสูงโคโลราโดเมื่อ 16 ล้านปีก่อน การยกตัวทำให้หินเริ่มมีการแตกตามแนวดิ่ง ซึ่งทำให้ง่ายต่อการถูกกร่อน จนกลายเป็นแท่งเสาสวยงามในปัจจุบัน

สีน้ำตาลแดง สีชมพู และสีแดงได้จากแร่ฮีมาไทต์ (Hematite) ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ ส่วนสีเหลือได้จากแร่ลิโมไนต์ (Limonite) ส่วนสีม่วงได้จากแร่ไพโรลูไซต์ (Pyrolusite)

หินแต่ละชั้นมีความทนทานต่อการกร่อนแตกต่างกัน ทำให้เสาหินมีลักษณะเป็นปล้องๆ และเว้าตรงส่วนที่หินผุพังง่าย

ตัวอย่างเสาหินธรรมชาติ อื่นๆ
เสาหินธรรมชาติ ในตุรกี http://goo.gl/9OA8k
วนอุทยานแพะเมืองผี จ.แพร่ http://goo.gl/wuoOP

ตำแหน่ง http://goo.gl/maps/oY76z
ภาพเพิ่มเติม http://goo.gl/fWXri


















อ้างอิงโดย:http://www.facebook.com/GeoThai

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

Moeraki Boulders





รูปภาพ : Moeraki Boulders ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นหินก้อนกลมๆ หลายก้อนตามแนวชายหาด

ก้อนหินเหล่านี้เป็นมวลสารพอกของหินโคลนที่มีการจับตัวกันแน่นของแร่ประกอบ และแข็งเป็นรูปทรงกลม แต่ที่พบทั่วไปมักเป็นรูปกลมรี รูปกลมแบน หรือรูปร่างไม่แน่นอน เกิดจากการจับตัวกันของสารเหลว หรือการตกผลึกของสารละลายรอบๆจุด หรืออนุภาค เช่น ใบไม้ กระดูก เปลือกหอย หรือซากดึกดำบรรพ์ จนเกิดเป็นก้อนแข็งๆ ภายในรูหรือโพรงของชั้นหิน หรือภายในเศษชิ้นส่วนภูเขาไฟ

โดยทั่วไปส่วนประกอบของซิลิกา (เชิร์ต) แคลไซต์ โดโลไมต์ เหล็กออกไซด์ ไพไรต์ ยิปซัม มีขนาดตั้งแต่ เม็ดกรวดเล็กๆ ไปจนถึงรูปทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ส่วนมากเกิดในช่วงที่หินมีการก่อตัวใหม่ (Diagenesis) แต่ที่เกิดทันทีหลังจากตกตะกอน (โดยเฉพาะในหินปูน และหินดินดาน) ก็มีมากเช่นกัน

ข้อมูล พจนานุกรม ศัพท์ธรณีวิทยา พ.ศ. 2530
Photo via yvaine-in-uk.blogspot.co.uk






Moeraki Boulders ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นหินก้อนกลมๆ หลายก้อนตามแนวชายหาด

ก้อนหินเหล่านี้เป็นมวลสารพอกของหินโคลนที่มีการจับตัวกันแน่นของแร่ประกอบ และแข็งเป็นรูปทรงกลม แต่ที่พบทั่วไปมักเป็นรูปกลมรี รูปกลมแบน หรือรูปร่างไม่แน่นอน เกิดจากการจับต
ัวกันของสารเหลว หรือการตกผลึกของสารละลายรอบๆจุด หรืออนุภาค เช่น ใบไม้ กระดูก เปลือกหอย หรือซากดึกดำบรรพ์ จนเกิดเป็นก้อนแข็งๆ ภายในรูหรือโพรงของชั้นหิน หรือภายในเศษชิ้นส่วนภูเขาไฟ

โดยทั่วไปส่วนประกอบของซิลิกา (เชิร์ต) แคลไซต์ โดโลไมต์ เหล็กออกไซด์ ไพไรต์ ยิปซัม มีขนาดตั้งแต่ เม็ดกรวดเล็กๆ ไปจนถึงรูปทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ส่วนมากเกิดในช่วงที่หินมีการก่อตัวใหม่ (Diagenesis) แต่ที่เกิดทันทีหลังจากตกตะกอน (โดยเฉพาะในหินปูน และหินดินดาน) ก็มีมากเช่นกัน

ข้อมูล พจนานุกรม ศัพท์ธรณีวิทยา พ.ศ. 2530
Photo via yvaine-in-uk.blogspot.co.uk





















































อ้างอิงโดย:
http://www.facebook.com/GeoThai

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

กินอย่างไรให้อารมณ์ดี




ร่างกายมีผลต่ออารมณ์มาจาก 2 แหล่งของผลสะท้อนความรู้สึกคือ อาหารและสารเคมีในสมอง และปัจจัยที่ควบคุมได้ง่ายคือ อาหาร ซึ่งทางรายการขอนำเสนอ 12 วิธีการกินที่ทำให้อารมณ์ดี ดังนี้
กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังกินอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิด เพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน
เลือกกินเฉพาะแป้งที่ไม่หวาน เพราะขนมปังและข้าวทุกชนิด คือแหล่งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยให้เกิดความสงบ งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินขนมปังเพื่อต่อต้านอาการซึมเศร้า
ปรับเปลี่ยนเพื่ออารมณ์ดี การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียง เล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ควรกินอาหารให้ครบมื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลากินอาหารเป็นมื้อ แบบกิจจะลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก
กินปลาแซลมอนและแมคคาเรล ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 ซึ่งยืนยันด้วยผลวิจัยว่าส่งผลต่ออารมณ์ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสารสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย
ปรุงอาหารด้วยน้ำมันคาโนลาออยล์ (Canola Oil) จากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมแทนน้ำมันพืชทั่วไป เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ แต่ควรกินได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยใช้ทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพ
กินผักโขม ถั่วสด และถั่ว Chickpeas ที่มีแต่โปรตีนไขมันต่ำอยู่สูง ในผักใบสีเขียวเข้มมีโฟเลตสูง มีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นการกินถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย การลองผสมถั่ว หรือเพิ่มผักใบเขียวลงในทูน่าสลัด
กินพริกรสเผ็ด ในพริกมี ‘สารแคปไซซิน' ส่งสัญญาณหลอกให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข เอนโดรฟิน แต่ควรระวังหากกินมากเกินไปอาจทำท้องไส้ปั่นป่วน
กินปวยเล้ง ผักอารมณ์ดีที่อุดมด้วย ‘กรดโฟลิก' (Folic acid) ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยให้เซลล์ใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ การขาดนำไปสู่การลดการหลั่งของฮอร์โมนเซโรโทนิน โดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า การกินปวยเล้งสม่ำเสมอยังทำให้หลับง่าย หลับสนิทดีด้วย
กินกล้วยหอม กระตุ้นการสร้างสาร ‘ซีโรโทนิน' และอุดมไปด้วย ‘ทริปโทโฟน' ช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด และไม่อ้วน
กินถั่วเหลือง ที่อุดมด้วยสารซีโรโทนิน เพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และ‘โดไทโรซิน' เพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ
กินเชอร์รี่เป็นของหวาน แพทย์ตะวันตกเรียกเชอร์รี่ว่าเป็น ‘แอสไพรินธรรมชาติ'เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่ชื่อว่าแอนโธไซยานิน Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้เชอร์รี่มีสีสันสวยสดใส และสรรพคุณสำคัญ คือ ทำให้คนกินมีความสุข งานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าการกินเชอร์รี่ 20 ผล ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการกินยา
กินและปรุงอาหารด้วยกระเทียม ที่อุดมด้วยสารเซเลเนียม (Selenium) สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น นักวิจัยเยอรมันแนะว่า การกินกระเทียมวันละ 2 กลีบน่าจะเหมาะสม นอกจากนี้กระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือดและรักษาโรคความดันโลหิตสูง
12 วิธีที่กล่าวมาแล้วนั้นอาจจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ปฏิบัติง่ายกว่าการกินคือการควบคุมจิตใจ ไม่ให้โกรธ วิตกกังวลหรือคิดไม่ดี ทำจิตใจให้สบาย ผ่อนคลายและมีสมาธิ มองโลกในแง่ดี เพียงเท่านี้ก็อารมณ์ดีแล้วล่ะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา







วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

แท้จริงแล้ว "โอโซน" คืออะไร?


            เคยมีใครชักชวนท่านไปสูดโอโซนริมทะเลหรือในแหล่งท่องเที่ยวที่มีการประชาสัมพันธ์ว่ามีปริมาณโอโซนสูงติดระดับโลกบ้างไหม ถ้าเคยลองมาทำความรู้จักกับโอโซนกันก่อน!

             ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าโอโซนเป็นก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนพื้นผิว โลกและในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นไป ที่เรียกว่า Lower Stratosphere ในระดับความสูง 14.4-30.4 กม. จากพื้นพิวโลก ก๊าซออกซิเจนมีออกซิเจนอะตอมอยู่รวมกัน 2 อะตอม (O2) ในขณะที่ในรูปของโอโซนมีอยู่ 3 อะตอม (O3) โอโซนมีประโยชน์และมีโทษขึ้นอยู่กับแหล่งที่เกิดโอโซนตามธรรมขาติเป็นก๊าซที่ไม่คงรูป จะมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปอยู่ในสภาพของก๊าซออกซิเจนในช่วง 10-20 นาที

             เป็นที่น่าสังเกตว่าสภาพอากาศที่แจ่มใสหลังจากเกิดพายุฝนฟ้าคะนองส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากโอโซนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการผลิตก๊าซโอโซนโดยกระแสไฟฟ้าแรงสูงผ่านอากาศที่มีก๊าซออกซิเจน ทำให้โมเลกุลของออกซิเจนแตกตัวเป็นออกซิเจนอะตอม (O) และรวมตัวกับก๊าซออกซิเจนเป็นโอโซนมีสภาพเป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไปจนถึงมีสีน้ำเงิน มีกลิ่นฉุน





คุณสมบัติของโอโซน

             โอโซนจัดเป็นตัวออกซิไดส์ (oxidizing agent) ที่แรงที่สุดที่อนุญาตให้นำมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน โดยมีฤทธ์ิสูงกว่าก๊าซคลอรีนถึง 51% และมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้เร็วกว่า 3.125 เท่าตัว สารอินทรีย์ที่มีอยู่ในเยื่อเมมเบรนของแบคทีเรียเมื่อทำปฏิกิริยากับโอโซนทำ ให้ผนังเซลล์อ่อนแอและแตกออก ทำให้เซลล์ตาย โอโซนสามารถเกิดปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ส่วนใหญ่รวมทั้งสารอนินทรีย์ ทำให้เกิดการแตกตัวและสลายตัวในกระบวนการสลายตัวทางชีวภาพได้ง่าย สารอินทรีย์บางชนิดทำปฏิกิริยากับโอโซนอย่างสมบูรณ์ได้คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ

             โอโซนสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส สปอร์ ราเมือก ราน้ำค้าง เชื้อรา อะมีบา และเชื้อที่อยู่ในรูปของถุงน้ำ ตามปริมาณความเข้มข้นและระยะเวลาที่ใช้ต่างกัน



โอโซนในบรรยากาศปกป้อง อันตรายที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์

            ชั้นโอโซนในบรรยากาศมีประโยชน์ปกป้องอันตรายที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ก๊าซโอโซนส่วนใหญ่บนพื้นผิวโลกเกิดจากการทำปฏิกิริยาของแสงแดดกับของเสีย (pollutant) จากเครื่องยนต์ โรงงานผลิตพลังงาน เครื่องผลิตไอน้ำในโรงงานอุตสาหกรรรม โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ รวมไปถึงจากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของมลภาวะมีการนำโอโซนไปใช้ประโยชน์ในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ในอากาศและน้ำ ใช้ประโยชน์ในกระบวนการกำจัดของเสียในอุตสาหกรรม ทำให้สารเคลือบไม้และหมึกพิมพ์แห้งเร็วขึ้น ขจัดกลิ่นในขนนก ใช้ฟอกสีในไข รวมทั้งใช้ในการกำจัดราเมือกและแบคทีเรียในห้องเย็น

             มีการจำแนกโอโซนเป็น oxidising biocide ใน L8 มีรายงานผลการทดสอบอย่างเป็นทางการของ Department of Environment ในคุณสมบัติที่เป็นไบโอไซด์ (biocide) โดยไม่มีความจำเป็นในการใช้สารไบโอไซด์ (biocide) ชนิดอื่นๆ มาประกอบการใช้

             มีการใช้ประโยชน์โอโซนในการกำจัดเชื้อโรคในน้ำที่นำมาใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภคมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2447 ในปัจจุบันยังคงมีการใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์เดียวกันอย่างกว้างขวางโดย เฉพาะในการกำจัดคราบแบคทีเรียและอะมีบาในระบบทำความเย็นด้วยน้ำ ทั้งนี้ปริมาณและความเข้มข้นของโอโซนที่ใช้ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำ อุณหภูมิ และอัตราการหมุนเวียนของน้ำในระบบ

อันตรายของโอโซน

             โอโซนจัดเป็นก๊าซพิษ การมีปริมาณโอโซนสูงมากผิดปกติในบางพื้นที่น่าจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่จะเป็นผลดี มีการกำหนดเกณฑ์ปริมาณความเข้มข้นสูงสุดที่ได้รับโดยเฉลี่ยไม่เกิน 0.1 ppm ในช่วงระยะเวลาของการทำงานนาน 8 ชั่วโมง

             อันตรายจากการได้รับโอโซนเป็นประจำอาจจะเป็นอันตรายต่อปอด โดยเฉพาะในวัยเด็กที่ปอดกำลังพัฒนา อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบสืบพันธุ์และพันธุกรรม อาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ ทำให้เกิดโรคปอดกำเริบ เช่น กลีบปอดพองลม และโรคหลอดลมอักเสบ ทำให้ภูมิคุ้มกันในระบบหายใจลดลง อาการหอบหืดและโรคหัวใจกำเริบ ลดปริมาณลมหายใจ รวมทั้งทำให้ปริมาณของเหลวในปอดเพิ่มขึ้นทำให้หายใจขัด

             ก๊าซโอโซนทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบหายใจ ทำให้ไอระคายคอหรือแน่นหน้าอก ปวดศีรษะ ท้องเสีย แน่นท้อง มีอาการป่วยและอาเจียน การสัมผัสโอโซนที่อยู่ในสภาพของเหลวที่มีความเข้มข้นสูงที่ผิวหนังหรือดวงตา อาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง อาการไหม้รุนแรง ปวดแสบปวดร้อน


















อ้างอิงโดย:http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=1978.0

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

4G คืออะไร






               Alwin Toffler นักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า “อนาคตมักจะมาเร็วเสมอ” การสื่อสารไร้สายก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยขณะที่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G กำลังขยายไปทั่วโลก แต่ก็ยังช้ากว่าแผนที่วางไว้ประมาณสองปี และขณะนี้กลุ่มของเทคโนโลยีสื่อสารเคลื่อนที่ใหม่ ที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ 4G

               สิ่งที่น่าสนใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยี 4G ก็เป็นผลมาจากจุดอ่อนของระบบ 3G นั่นเอง โดยที่ผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมทั่วโลกได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินสูงถึงหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ เพื่อซื้อใบอนุญาตใช้สิทธิในการประกอบการโทรคมนาคมเครือข่าย 3G เพียงเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารแบบมัลติมีเดียแบบเคลื่อนที่ได้ แต่การนำมาใช้จริงกลับกลายเป็นทำได้ยากกว่าที่คาดไว้ และยังมีการลงทุนทางด้านเครือข่ายและการบำรุงรักษาเครือข่ายที่สูง จึงสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ประกอบกิจการที่กำลังจะพัฒนาระบบจาก 2.5G สู่ 3G

โดยสรุปแล้วแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยี 4G มีดังนี้ คือ 

              ความสามารถในการทำงานของ 3G อาจจะไม่เพียงพอที่จะสนองตอบความต้องการของแอพพลิเคชั่นสูงๆ อย่างเช่น มัลติมีเดีย, วิดีโอแบบภาพเคลื่อนไหวที่เต็มรูปแบบ (Full-motion video) หรือการประชุมทางโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless teleconferencing) ทำให้เกิดความต้องการเทคโนโลยีเครือข่ายที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ 3G โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่มากด้วย

              มาตรฐานที่ซับซ้อนของ 3G ทำให้ยากในการเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่าย แต่เราต้องการใช้งานแบบเคลื่อนที่และพกพาไปได้ทั่วโลก

              นักวิจัยต้องการให้รูปแบบการส่งคลื่นทางเทคนิคมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถในการส่งข้อมูลที่เร็วกว่า 10 Mbps ซึ่งไม่สามารถทำได้ในโครงสร้างของ 3G

              ระบบ 4G เป็นระบบเครือข่ายแบบ IP digital packet ทำให้สามารถส่ง Voice และ Data ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยราคาการให้บริการที่ถูกมากและมีรูปแบบที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

               การพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 4G ได้มีการพัฒนาโดยเน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัย โดยการนำไบโอแมทริกซ์มาผสมผสาน ทำให้สามารถซื้อขายกันได้โดยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือ Mobile Internet และยังสามารถหักบัญชีเงินในธนาคาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าหรือบริการได้ทันที ระบบไบโอแมทริกซ์ จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในธุรกิจในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเห็นอย่างชัดเจนในยุคโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G นั่นคือในธุรกิจ Mobile Commerce นั่นเอง

               ซอฟแวร์ที่เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดีย นับเป็นกลุ่มซอฟแวร์ที่จะถูกนำมาใช้ร่วมกับระบบ 4G โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลถูกพัฒนาให้สูงกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที ตัวอย่างเช่น คุณอาจดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอมาไว้ในรถยนต์ ก่อนออกเดินทางไกล เพื่อว่าจะได้มีหนังดีๆ รวมทั้งข้อมูลการท่องเที่ยวไว้ดูบ้างในระหว่างเดินทาง นั่นคือธุรกิจ Software house และ ธุรกิจเกี่ยวกับการสร้าง Content ในระดับ SME ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ก็จะมีโอกาสในธุรกิจสื่อมัลติมีเดียบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่เป็นอย่างมาก

               ลองนึกภาพการที่คุณสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อซื้อน้ำอัดลมจากตู้ขายอัตโนมัติ ใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกันสั่งซื้ออัลบั้มเพลงล่าสุดและดาวน์โหลลงเครื่องเล่น MP3 ได้โดยตรง หรือการที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้คอมพิวเตอร์พกพาเพื่อหาจองโรงแรมที่ใกล้ที่สุด และราคาเหมาะสมที่สุดขณะที่นั่งรถแท็กซี่ 

               โทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 4G จะมีความสามารถและสมรรถนะสูงมาก ในระดับที่สามารถชมภาพวิดีโอกันแบบสดๆได้ พร้อมคุณภาพระดับ DVD ตามการเปิดเผยของซัมซุงฯ  เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ทางซัมซุงฯได้เพิ่มบุคลากรในแผนกอาร์แอนด์ดี ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ 4G  แล้ว

               มีการคาดหวังถึงความสะดวกสบายและประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเมื่อบริการ M-Commerce บนระบบ 4G จะเป็นที่ยอมรับและแพร่หลาย ทำให้เกิดแนวคิดมากมายในการทำ M-Commerce เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด เช่นแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายข้อมูลออกไปในระยะใกล้ โดยมีเป้าหมายคือผู้บริโภคที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเดินผ่านร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คุณอาจจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ๆ ที่มีจำหน่ายในร้าน และคุณก็สามารถที่จะตรวจสอบราคาสินค้า เปรียบเทียบราคากับร้านอื่นๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด หรือเมื่อคุณนั่งรถไฟฟ้าผ่านสถานที่ท่องเที่ยวโทรศัพท์เคลื่อนที่4G ของคุณก็จะได้รับแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ของบริเวณนั้นบนจอของคุณ อีกทั้งข้อความโฆษณาของโรงแรมหรือที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ เป็นต้น

               ขณะนี้ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี จับมือกันแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีหวังสร้างมาตรฐานร่วม 4G แห่งเอเชีย โดยชูคุณสมบัติเด่น รับส่งข้อมูล 100 เมกะบิตต่อวินาที พร้อมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยอาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโปรโตคอล เวอร์ชั่น 6 หรือ “ไอพีวี6” (IPv 6) ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้พัฒนาขี้นเป็นรายแรก และมีแผนที่จะผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานระดับโลก

               จะเห็นได้ว่าตอนนี้เหล่าผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และนักพัฒนาเริ่มตื่นตัวกับเทคโนโลยีใหม่กันแล้ว และดูเหมือนการแข่งขันที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่า 3G มาก จนทำให้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอีกแล้ว แต่น่าจะเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวแบบก้าวกระโดด จนธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมอาจปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง















                                     อ้างอิงโดย:http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=2600.0

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีสังเกตยาเสื่อมสภาพ





วิธีสังเกตยาเสื่อมสภาพ

ในปัจจุบันยาเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งมีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย แต่บางครั้งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ถ้าหากเราใช้ยาไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม ซึ่งปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือปัญหายาเสื่อมคุณภาพ เกิดจากการที่คนไทยมียาสะสมไว้ที่บ้านเกินความจำเป็น ประมาณ 3 - 4 เท่าของยาที่ควรมี ทั้งยาที่ได้รับมาจากโรงพยาบาล หรือคลินิกแล้วกินไม่หมด ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อย ที่เลือกกินยาที่เหลืออยู่ในบ้านมากกว่าออกไปหาหมอ เมื่อมีอาการเจ็บป่วย แต่ที่เสี่ยงอันตราย คือ ยาทุกชนิดมีวันหมดอายุ ซึ่งหมายถึงยาที่หมดประสิทธิภาพในการรักษาแล้ว ถ้าหากกินยาเสื่อมคุณภาพโดยไม่รู้ตัว อาจเสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิต



นพ.วิทิต อรรถเวชกุล

นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการสังเกตยาเสื่อมสภาพว่า ยาเสื่อมสภาพเป็นยาที่เปลี่ยนสภาพไป ทำให้ไม่เกิดผลในการรักษาที่ดี หรืออาจเป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อผู้ใช้ได้ การเสื่อมสภาพของยาอาจสังเกตจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในตัวยา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การเสื่อมสภาพของยาที่พบกันบ่อยๆ เช่น ยาน้ำแขวนตะกอน ได้แก่ ยาคาลาไมน์ ที่เป็นยาแก้ผดผื่นคัน ยาน้ำลดกรดที่มีจำหน่ายในหลายชื่อ เมื่อตั้งทิ้งไว้จะสังเกตเห็นว่ามีการแยกชั้นเกิดขึ้น แต่เมื่อเขย่าขวดยาจะกลับมาเป็นเนื้อเดียวกันได้ แสดงว่ายาไม่เสื่อม วิธีสังเกตง่ายๆ สำหรับยาน้ำแขวนตะกอนว่าเสื่อมหรือไม่ คือให้เขย่าขวดแรงๆ หากยาไม่กลับมาเป็นเนื้อเดียวกันหรือตะกอนยังเกาะแน่นที่ก้น แสดงว่ายาเสื่อมแล้วให้ทิ้งไป

นอกจากนี้ ยาน้ำบางประเภท เช่น ทิงเจอร์ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ไอน้ำดำ ยาน้ำแผนโบราณ ยาน้ำสตรี เป็นต้น ยาเหล่านี้มักมีตะกอนเบาๆ ของตัวยาที่เป็นสมุนไพร หรือสารสกัดของสมุนไพรแขวนลอยอยู่ ส่งผลให้มีลักษณะขุ่น ไม่ใส เป็นลักษณะของยาไม่ใช่ยาเสื่อม ซึ่งยาเหล่านี้ การดูตะกอนอาจบอกไม่ได้ว่า ยาเสื่อมหรือไม่ ต้องสังเกต สี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนไปจากเดิม แต่ยาน้ำบางประเภทที่แต่เดิมเป็นยาน้ำใส เช่น ยาน้ำขับลมเด็ก หรือยาน้ำเชื่อม หากเก็บไว้แล้วพบว่ามีตะกอนเกิดขึ้น หรือขุ่น เหมือนมีเยื่อเบาๆ ลอยอยู่ หรือสี กลิ่น รสเปลี่ยนไป แสดงว่า ยาเสื่อมสภาพหรือยาเสียแล้ว ให้ทิ้งทันที

ในส่วนของวิธีสังเกตการเสื่อมคุณภาพของยาประเภท อื่นๆ ได้แก่ ยาเม็ด เม็ดยาจะมีลักษณะเยิ้ม เม็ดแตก ชื้น บิ่น เปลี่ยนสี ถ้ามีการเสื่อมสภาพจะมีผลึกใสกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเกิดขึ้นบนเม็ดยาหรือในขวด ยาแคปซูลจะมีลักษณะแตกออกจากกัน บวม ชื้น หรือสีของยาที่อยู่ภายในแคปซูลเปลี่ยนไป หรือมีสีเข้มขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตเป็นอย่างมาก ยาขี้ผึ้ง ยาครีม จะมีลักษณะเนื้อยาเยิ้ม เหลว แยกชั้น กลิ่น สี เปลี่ยนไปจากเดิม ยาหยอดตาที่เสื่อมสภาพจะมีลักษณะขุ่นหรือตกตะกอนของตัวยา หรือเปลี่ยนสีไป จากเดิมที่เคยใช้

ดังนั้น ก่อนใช้ยาใดๆ จึงควรดูวันหมดอายุ และสังเกตสภาพยาว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะนอกจากจะรักษาไม่หายแล้ว ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจให้ทิ้งไป และเพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง













วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์หลากหลายของยาสีฟัน









1. ขจัดคราบเลอะดินสอสีเทียน -
 ยาสีฟันแบบที่ไม่ใช่เจล บีบเล็กน้อยทาบนคราบเปื้อน แล้วใช้ผ้านุ่มๆ ถูลบรอย จากนั้นซักออกด้วยน้ำอุ่น
2. ขจัดกลิ่นติดมือ - ลองใช้ยาสีฟันล้างแทนสบู่ ตามซอกเล็บ กลิ่นคาว กลิ่นกระเทียม กลิ่นอาหารสด จะหมดไป
3. ขัดรองเท้าผ้าใบให้เหมือนใหม่ - ใช้ยาสีฟันทาลงบนรองเท้าผ้าใบ ในบริเวณที่เป็นยาง แล้วใช้แปรงสีฟันเก่าขัดออก รองเท้าที่ดูเก่าๆ ก็จะใหม่กิ๊ก
4. ขัดแผ่นซีดี - บีบยาสีฟันลงบนก้อนสำลี เช็ดลงบนแผ่นจากจุดกึ่งกลางออกไปด้านนอก ให้ทั่วแผ่น เน้นบริเวณที่เป็นรอยขีดข่วน ล้างแผ่นด้วยน้ำสะอาดเช็ดด้วยผ้าที่ใช้เช็ดแว่น หรือผ้าอเนกประสงค์ที่ไม่เหลือคราบน้ำ รอยขีดข่วนบนแผ่นจะหายไป
5. ล้างแว่นตาดำน้ำ - ทายาสีฟันบนกระจกด้านในของ แว่นตาดำน้ำ แล้วเช็ดออก จะทำให้แว่นใสปิ๊ง ไม่เป็นฝ้า














วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ช้าก่อน iPhone ใหม่อาจไม่ใช่ iPhone 5

แม้สื่อหลายสำนัก (รวมถึงเว็บไซต์ arip ด้วย - -") จะฟันธงกันว่า ชื่อของไอโฟนรุ่นใหม่น่าจะเป็น iPhone 5 ยิ่งได้เห็นบัตรเชิญของ Apple ด้วยแล้ว แต่ล่าสุดบล็อกในเนเธอร์แลนด์ชื่อว่า iphonenieuwsblog.nl ได้เผยแพร่ภาพของกล่องอุปกรณ์ที่มันอาจจะใช่ (หรือไม่ใช่???) กล่องใส่ iPhone 5 แต่ที่เห็นก็คือ ชื่อเรียกของสมาร์ทโฟนบนกล่องที่ดูเหมือน iPhone 5 ไม่ได้ถูกเรียกว่า iPhone 5 แต่กลับพิมพ์ชื่อของไอโฟนรุ่นใหม่ว่า "the new iPhone" บร๊ะแล้ว...นี่คงเป็นไปตามทฤษฎีการยกเลิกใช้เลขเวอร์ชันเรียกผลิตภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดอาการตกรุ่นได้ง่ายแบบ the new iPad แทนการเรียก iPad 3 แถมยังเป็นการสับขาหลอกให้สื่อเดาทาง Apple ผิด จนกว่าจะถึงวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ยังไงยังงั้น ตัวอย่างล่าสุดก็คือ การปล่อยเงาเลข 5 ให้ปรากฎในบัตรเชิญนั่นเอง









อย่าง เป็นที่ทราบกันว่า new iPad มีชื่อเล่นคือ iPad 3 ซึ่งในแง่ของ iPhone รุ่นใหม่ที่หากมีการใช้ชื่อ new iPhone จริง หลายคนก็จะนึกออกในใจว่า มันมีชื่อเล่นว่า iPhone 5 นั่นเอง การให้ข้อมูล (ปล่อยข่าว) กับสื่อของ Apple จะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำหน้าที่กำกับทิศทาง และความเข้าใจตลอดจนรักษาความลับเกี่ยวกับข้อมูลของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การเปิดตัวแต่ละครั้งได้รับความสนใจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนยิ่งพยายามปิดเท่าไร สื่อก็ยิ่งพยายามหาหลักฐาน ตลอดจนข้อมูลมาหยิบโยงจนบางครั้งก็ถูก แต่ไอ้ที่ผิด Apple ก็จะไม่เข้ามาแก้ และปล่อยให้เข้าใจอย่างนั้นต่อไป ซึ่งงานนี้ หากภาพในบัตรเชิญไม่พยายามสร้างความเข้าใจ(ไปเอง)ให้กับสื่อแล้วล่ะก็ ภาพถ่ายของกล่อง new iPhone ทีเห็นนี้ บางทีอาจจะออกมาจากหน่วยงานฯ ของ Apple เองก็ได้ เพราะถึงตรงนี้ ข้อมูลไหนจะจริงกันแน่ ทั้งหมดจะได้รับการเฉลยในวันที่ 12 กันยายน ศกนี้


















 อ้างอิงโดย:http://www.it4x.com/forum/index.php?topic=14944.0

การฟื้นฟูสมอง เพิ่มความฉลาดทางปัญญา










แม้ว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้นในแต่ละปี  พลังสมองก็จะค่อยๆเสื่อมลงเป็นธรรมดา
                แต่จริงๆ  แล้วถ้าเราบริหารสมอง  มันก็เป็นการฟื้นฟูประสิทธิภาพของสมองให้คงฟิตเปรี๊ยะอยู่เสมอ
                ถ้ามีการกระตุ้นสมองเป็นประจำ  ในสมองของเรานั้นก็จะเพิ่มการเชื่อมต่อขึ้นอีกนับล้านๆ จุด  ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าสมองจะมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
                ในส่วนของสติปัญญาของคนเรานั้น  สามารถจะพัฒนาให้เปลี่ยนแปลงได้ด้วย  เพราะความสามารถของสมองก็คือตัวบ่งชี้สติปัญญาของแต่ละบุคคลนั่นเอง
                ทักษะหลักๆ  3  ประการของสมองก็คือความสามารถในการจำ  การเรียนรู้  และการใช้ความคิดสร้างสรรค์
                ถ้าบุคคลใดสามารถมีความจำที่ดี  สามารถเรียนรู้ได้ดีและเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ด้วย  อย่างนี้ก็ถิอว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาชาญฉลาดด้วย  เพราะมันสมองของเขามี
                แต่ที่ว่า ดี”  ในทักษะหลักๆ  3 ประการนั้น  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความสามารถของสมองเรามีมากน้อยขนาดไหน  มาดูละเอียดทักษะทั้ง  สาม  ประการเถอะ
1.       ความสามารถในการจำ
สมองของเรามีวิธีจำอยู่ 2 ระดับ  คือการจำระยะสั่นและระยะยาว
ความจำระยะสั้นคือ  ความจำในเรื่องพื้นฐานประจำวัน  เช่นต้องจำได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันนี้  หรือหมายเลขรหัส ATM ของส่วนตัวความจำระยะยาวคือความจำที่ไม่ไช่แค่ตั้งใจจะท่องจำก็สามารถจำได้  แต่เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน  เพราะความจำระยะบาวจะเป็นเรื่องต่างๆ  ที่มีขีดจำกัด
2.       ความสามารถในการเรียนรู้
ถ้าคน 2 คนได้เรียนรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน  แต่คนที่มีศักยภาพทางสมองดีกว่า  ก็จะสามารถนำความรู้นั้นไปวิเคราะห์หรือนำไปเป็นข้ออ้างอิงใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้  มิใช่แค่รู้ไว้อย่างเดียวแต่ไม่มีทางจัดการกับความรู้นั้นๆ  ให้เหมาะสมแต่ละโอกาสด้วย
3.       ความคิดเชิงริเริ่มสร้างสรรค์
ยังมีคนอีกไม่น้อยที่คิดว่าความคิดความคิดในเชิงสร้างสรรค์    เป็นเรื่องของพรสวรรค์  แต่ความเป้นจริงแล้วสิ่งที่เราสามารถพัฒนาและสรรค์ให้เกิดขึ้นได้  เราพะว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพในความคิดอะไรแลกๆ ใหม่ๆ  อยู่แล้ว  แต่ว่าบางคนไม่ได้ดึงมาใช้จึงไม่มีความมันใจในตัวเองว่าจะมีความคิดในเชิงนี้หรือไม่

















อ้างอิงโดย:http://www.krabork.com/2012/05/11/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/#more-1471